ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฝุ่น PM 2.5 และการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทำให้เกิดความวิตกกังวลกับประชาชนทั่วไปทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ วิธีที่ดีที่สุดคือการการสวมหน้ากากตลอดเวลาก็จะช่วยลดการรับฝุ่นละอองขนาดเล็ก และการแพร่กระจายเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้
วิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้มีอยู่ 2 ใหญ่ ๆ คือเรื่อง ฝุ่น PM 2.5 ที่อาจเข้าสู่ร่างกายจนทำลายสุขภาพของเราในระยะยาว และการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีความตื่นตัวในการสวมใสหน้ากากกันมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยในสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว เพราะหน้าที่ของหน้ากากจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้สวมใส่ปลอดภัยจากการสัมผัสละอองฝอยของสารคัดหลั่งต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีเชื้อโรคและใช้ป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยแพร่เชื้อออกไปสู่ผู้อื่น แต่มีความสับสนกันว่าหน้ากากที่วางขายทั่วไปตามท้องตลาดจะใช้ชนิดไหน แบบไหนสวมใส่แล้วป้องกันอะไร มาดูกันว่าหน้ากากอนามัยแต่ชนิดกันว่าแบบไหนช่วยป้องกันอะไร
ชนิดของหน้ากากที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด
1. หน้ากากทางการแพทย์ เป็นหน้ากากอนามัยที่พบเห็นได้ทั่วไปตามโรงพยาบาล ผลิตจากผ้าหรือพอลีโพรไพลีน เป็นพลาสติกที่มีความปลอดภัย มีชั้นกรองอย่างน้อย 3 ชั้น ใช้สำหรับป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสต่าง ๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ กรองฝุ่นและเกสรดอกไม้ขนาด 3 ไมครอน ได้ 66.37 เปอร์เซ็นต์ หากใช้สวมใส่ 2 แผ่น จะมีประสิทธภาพการป้องกันได้มากถึง 89.75 เปอร์เซ็นต์
2. หน้ากากคาร์บอน มีคุณสมบัติเหมือนกับหน้ากากทางการแพทย์ แต่จะมีความพิเศษคือมีชั้นของคาร์บอน ที่จะช่วยกรองกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ มีความหนาของใยสังเคราะห์ 4 ชั้น ช่วยป้องกันแบคทีเรียละไวรัสต่าง ๆ ได้ 95 เปอร์เซ็นต์ กรองฝุ่นและเกสรดอกไม้ขนาด 3 ไมครอน ถึง 66.37 เปอร์เซ็นต์ หากสวมใส่ 2 แผ่น จะป้องกันได้สูงถึง 89.75 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้มีหน้ากากคาร์บอนอีกประเภทหนึ่ง ชื่อทางการแพทย์คือ Activated Carbon จะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าชนิดแรก ช่วยป้องกันกลิ่น และฝุ่นจากการจราจร ในส่วนของการป้องกันแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ ก็น้อยกว่าชนิดแรกเช่นกัน
3. หน้ากาก N95 ผลิตจากโพลีโพรพีลีน มีประสิทธิภาพสูงกว่าหน้ากากทั่วไป เพราะมีลักษณะครอบใบหน้าบริเวณปากและจมูกได้อย่างมิดชิด จึงสามารถป้องกันเชื้อโรคและไวรัสต่าง ๆ ได้ และป้องกัน PM 2.5 และ PM 10 ได้มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์
4. หน้ากาก FFP1 ช่วยป้องกันฝุ่น แบคทีเรีย และเชื้อไวรัสต่าง ๆ สูงกว่า N95 โดยป้องกัน PM 2.5 และ PM 10 ได้มากกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ แต่มีความพิเศษคือช่วยป้องกันสารเคมี ฟูมโลหะได้นั่นเอง
5. หน้ากากผ้า ปัจจุบันมีทั้งแบบผ้าฝ้าย ในการป้องกันฝุ่น และการกระจายของสารคัดหลั่งในร่างกาย แต่ไม่สามารถกรองเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กได้ ส่วนแบบใยสังเคราะห์ ซ้อนทบกัน ช่วยป้องกันฝุ่น เชื้อโรคได้ดีกว่าแบบผ้าฝ้าย และแบบผ้ากันน้ำ หรือผ้าสะท้อนน้ำ ช่วยป้องกันละอองจากการไอ จาม นอกจากนี้สามารถซักทำความสะอาดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง
6. หน้ากากฟองน้ำ ผลิตจากโพลียูรีเทนคาร์บอน ใช้สำหรับการกรองอากาศโดยเฉพาะ จึงไม่สามารถป้องกันฝุ่นและเกสรดอกไม้ได้ ข้อดีคือสามารถซักทำความสะอาดง่าย แห้งเร็ว คืนรูปได้ดี
ใช้หน้ากากอย่างไรให้ปลอดภัย
หน้ากากอนามัยทุกชนิดเมื่อใช้แล้ว ไม่ควรใช้มือสัมผัสผิวด้านหน้าของหน้ากาก เพราะอาจจะมีการปนเปื้อนของละอองฝอยจากสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากผู้ติดเชื้อ และเมื่อเผลอนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ดวงตา จมูก ปาก ก็นำเชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ที่สำคัญควรลดการสัมผัส เว้นระยะห่างทางสังคม ใช้ชีวิตแบบวิถีปกติใหม่ และล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือสบู่ล้างมือ จะช่วยให้เราปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติของหน้ากากอนามัยแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะ และความเหมาะสมของการใช้งาน หากเราจะเลือกหน้ากากเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละวันควรเลือกจากสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เมื่อต้องเดินทางไปพบปะผู้คนจำนวนมาก ก็ควรเลือกหน้ากากทางการแพทย์ เป็นต้น
เครดิตภาพ : thairath.co.th / bangkokbiznews.com / si.mahidol.ac.th
Youtube:
รีวิว เปรียบเทียบ หน้ากากอนามัย รุ่นไหนดีที่สุดในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 และ เชื้อโรค
หน้ากากอนามัยแต่ละชนิดใช้งานยังไง
#หน้ากากอนามัย #หน้ากากอนามัยมีกี่ชนิด #ใช้หน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง