7 วิธีฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร

7 วิธีฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

Digestive System หรือระบบย่อยอาหาร มีหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงสภาพของอาหารให้กลายเป็นพลังงานให้กับร่างกาย รวมถึงการกำจัดของเสียออกไปด้วย แต่บางครั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ทำให้ระบบนี้ทำงานไม่เป็นปกติ เช่น ทำงานช้าลง รู้สึกแน่นท้อง เป็นต้น มาดูวิธีฟื้นฟูการย่อยอาหารให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ลองไปทำตามกัน

7 วิธีที่จะช่วยให้การย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

                  1. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด มีผลการวิจัยพบว่าวิธีนี้ยังช่วยคลายเครียดได้อีกด้วย ยิ่งเคี้ยวนาน ภายในปากก็จะผลิตน้ำลายออกมาเป็นจำนวนมาก เมื่อเรากลืนอาหาร น้ำลายจะมีส่วนช่วยให้เอนไซม์ที่มาย่อยอาหารทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รู้สึกอิ่มนาน ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว

                  2. เคลื่อนไหวร่างกายหลังมื้ออาหาร แรงโน้มถ่วงของร่างกายจะช่วยในการย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น และการขับถ่ายก็จะเป็นไปตามธรรมชาติด้วย

                  3. ดื่มชาขิง สมุนไพรไทยยอดนิยมที่รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีส่วนช่วยให้การย่อยดีขึ้น ลดความดันเลือด และลดเสี่ยงโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ควรทานมากกว่า 2 ถ้วยเพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ เช่น อุจจาระเหลว และมีฤทธิ์ทำให้ตื่นตัวไม่ควรดื่มก่อนนอน เป็นต้น

                  4. ลดหวาน มัน เค็ม โดยเฉพาะอาหารแปรรูป เนื่องจากมีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว สารให้ความหวาน ซึ่งให้แคลอรีสูง เข้าไปฆ่าแบคทีเรียดีที่ช่วยในระบบย่อยอาหาร และก่อให้เกิดแบคทีเรียบางชนิดที่ผลต่อการย่อยของร่างกาย

                  5. เน้นอาหารที่มีเส้นใยอาหาร ควรทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ๆ เช่น ผักผลไม้ ถั่วต่าง ๆ ไข่ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ติดมัน เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี เป็นต้น ก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี

                  6. ดื่มน้ำสะอาดให้มาก สาเหตุหลักของอาการท้องพูกคือการขาดน้ำในร่างกาย ดังนั้นเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือน้ำหนักตัวก็ได้ และควรดื่มน้ำก่อนทานอาหารประมาณ 15-30 นาที นอกจากนี้ไม่ควรดื่มน้ำในระหว่างทานอาหารเพราะน้ำจะเข้าไปลดความเป็นความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะออกไป

                  7. ทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เช่น เนื้อวัว กุ้ง หอย ปู และเมล็ดของดอกทานตะวัน ซึ่งงานวิจัยระบุว่าช่วยให้การย่อยทำงานได้ดีขึ้น ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ ไม่เกิน 8 มิลลิกรัม

ความสำคัญของระบบการย่อยของร่างกาย

              อาหารต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไป ระบบย่อยอาหารจะช่วยให้การดูดซึมของร่างกายทำงานได้เร็วขึ้น เพื่อนำสารอาหารเหล่านั้นไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ทำให้การทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาหารจะถูกเปลี่ยนให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี ส่งผลให้โมเลกุลมีการแตกตัว จากแป้งกลายเป็นกลูโคส ฟรักโทส กาแลกโทส หรือ โปรตีน จะเปลี่ยนเป็น กรดอะมิโน ส่วนไขมัน ก็จะกลายเป็นกรดไขมัน เป็นต้น ซึ่งกระบวนการเริ่มต้นตั้งแต่เรานำเอาอาหารเข้าปาก เคี้ยว การย่อย ไปจนถึงการขับถ่าย จะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 16-28 ชั่วโมง การย่อยนี้แบ่งได้เป็น 2 แบบคือ การย่อยเชิงกล และเชิงเคมี หากเกิดภาวะอาหารไม่ย่อยจะทำให้เกิดลมหรือแก๊สขึ้น ทำให้มีอาการท้องอืด แน่นท้อง การย่อยไม่ดี การดูดซึมสารอาหารของลำไส้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีอาการท้องผูก อุจาระตกค้างภายในลำไส้ ริดสีดวงทวารได้ ในส่วนของลมในท้องหากลอยขึ้นมาจะพัดเอาน้ำย่อยขึ้นมาด้วย จะส่งผลให้เกิดการแสบร้อนกลางอก จุกเสียดแน่น เหมือนมีอะไรเข้ามาจุกอยู่ภายในลำคอ เรียกว่า กรดไหลย้อน หากปล่อยให้เกิดอาหารเหล่านี้ต่อเนื่องเรื้อรัง จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคมะเร็งกระเพาะ ลำไส้ กระเพาะทะลุ หูรูดหลอดอาหารอักเสบ หรือแม้แต่โรคตับ เป็นต้น

              เพียงแค่หันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ ที่ได้แนะนำไปข้างต้นนี้ เราก็จะดูแลรักษาระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างดีและเป็นปกติ ที่สำคัญควรออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 20-30 นาที ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ครบทั้งห้าหมู่ให้ตรงเวลาทั้งสามมื้อเลี่ยงอาหารไขมันสูง การย่อยและการขับถ่ายของเราก็จะมีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพ : bookmarking.com / fitterminal.com / thaiticketmajor.com

YouTube :

ระบบย่อยอาหาร 1/2 (ปาก-กระเพาะอาหาร)

5 สมุนไพร ช่วยระบบย่อยอาหารและขับถ่าย

#วิธีฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร #ระบบย่อยอาหาร #Digestive System