7 อาการทางจิตเวช โรคแปลกที่เพิ่มขึ้นมาในยุคปัจจุบัน

7 อาการทางจิตเวช โรคแปลกที่เพิ่มขึ้นมาในยุคปัจจุบัน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

                  ประชากรไทยจำนวนไม่น้อยที่มีอาการทางจิตเวช บางรายรู้ตัวว่าป่วย บางรายไม่รู้ตัว แต่ที่น่ากลัวคือบางรายเกิดการสบสนระหว่างการป่วยทางจิต แต่คิดว่าป่วยเป็นโรคทางกาย เมื่อเข้ารับการตรวจรักษากลับไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด โรคทางจิตเวชเหล่านี้มีการพยายามหาทางรักษามานานหลายร้อยปีแล้ว ในช่วงปี ค.ศ. 1930-1990 ได้มีการสร้างโรงพยาบาลจิตเวชขึ้นมาหลายแห่งทั่วโลก ส่วนโรคที่พบได้บ่อย คือ โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ที่ทำให้ผู้ป่วยคิดสั้นฆ่าตัวตายมาแล้วเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันแม้ว่าจะค้นพบวิธีการรักษาได้หลากหลาย ช่วยให้สถิติการฆ่าตัวตายลดน้อยลง แต่หากผู้ป่วยไม่รู้ตัวเอง สถิติการฆ่าตัวตายก็จะยังคงมีอยู่ให้เห็น

                  ปัจจุบันโรคทางจิตเวชได้เปลี่ยนแปลงเป็นโรคแปลกใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา อาจจะเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่กระทบภายในจิตใจ บางครั้งอาจจะไม่รุนแรง หรืออาจจะรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตตนเองและผู้อื่นได้ หากคิดว่าตัวเองเข้าข่ายมีความเสี่ยงของโรค ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยรักษาจะดีกว่า มาดูกันว่าอาการทางจิตเวชที่พบเป็นประจำมีอะไรบ้าง

                  1. โรคหิวตอนดึก เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน และความเครียดในระหว่างวัน ซึ่งอาการนี้ในช่วงกลางวันจะไม่รู้สึกว่าหิว ส่วนตอนกลางคืนจะหิวจนนอนไม่หลับ ต้องหาอะไรทานก่อนนอน และจะทานได้มากกว่ามื้อปกติกว่า 3 เท่า เป็นนิสัยและพฤติกรรมที่ทำทุกวันจนเกิดความเคยชิน หากปล่อยไปเรื่อย ๆ อาจจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น โรคอ้วน โรคความดันโลหิต กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ เป็นต้น

                  2. โรคเตียงดูด อาการทางจิตเวชที่เกิดจากปัญหาด้านการนอนที่นอนไม่เพียงพอ นอนไม่เต็มอิ่ม ความเครียด ซึมเศร้า มีพฤติกรรมไม่อยากตื่นนอน หรือลุกออกจากที่นอน ขี้เกียจ และไม่อยากทำกิจกรรมอื่น ๆ หรือหากจะทำก็ทำบนเตียงเท่านั้น ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขาดสารอาหาร โรคภูมิแพ้ เป็นต้น

                  3. โรคกลัวความรัก เป็นโรคที่พบได้จากการที่ผิดหวัง อกหัก จนส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง จนทำให้ไม่อยากเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ แต่หากส่งผลต่อการดำรงชีวิตจนไม่กล้าเข้าสังคม หรือพูดคุยกับคนรอบข้างได้ ผลข้างเคียงต่อร่างกาย เช่น มีเหงื่อมาก หายใจติดขัดและเต้นเร็วผิดปกติ ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อหาทางรักษา

                  4. โรคทำดีไม่พอ เป็นอาการทางจิตเวชที่เกิดจากความคิดว่าตัวเองยังทำดีได้ไม่พอ ในภาวะของแข่งขันด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของความรัก การทำงาน การเรียน ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบที่สุด จนเกิดความกดดัน และโทษตัวเองอยู่เสมอหากทำผิดพลาด จนเกิดความวิตกกังวล จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองในทางลบเพิ่มมากขึ้น ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพราะปล่อยทิ้งไว้อาจจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้

                  5. โรคบ้าซื้อของ เกิดจากอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ การซื้อของจึงเป็นตัวช่วยในการลดความวิตกกังวล หรืออาจจะเกิดจากมีภาวะของการซึมเศร้า สมาธิสั้น ไม่ภูมิใจในตัวเอง จะรู้สึกดีเมื่อได้เปรียบเทียบราคา และมีความสุขเมื่อได้ซื้อ หากวันไหนไม่ได้เลือกซื้อจะรู้เครียด หงุดหงิด กระวนกระวาย เป็นต้น

                  6. โรคขาดมือถือไม่ได้ หากอยู่ห่างจากมือถือสัก 30-60 นาทีจะรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนนอนหรือหลังจากตื่นนอนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที พกติดตัวไว้ตลอดเวลา และเล่นในระหว่างที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย เช่น เข้าห้องน้ำ รอรถ กินข้าว เป็นต้น ทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมการเล่นมือถือมากจนเกินไป หากแบตเตอรี่หมดหรือไม่มีสัญญาณจะรู้สึกหงุดหงิด บางรายที่มีอาการหนัก ๆ อาจจะคลื่นไส้ กระวนกระวาย เป็นโรคซึมเศร้าจากการขาดมือถือ  

                  7. โรคติดน้ำตาล เกิดจากการชอบทานของหวาน ๆ เมื่อน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย จะหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ทำให้มีพอใจในการกิน หากไม่ได้กินจะรู้สึกหงุดหงิด สมาธิสั้น อารมณ์แปรปรวน จนเกิดเป็นซึมเศร้า ที่สำคัญอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคกระดูก โรคหัวใจ และโรคอ้วน เป็นต้น

                  อาการทางจิตเวช ผู้ป่วยอาจมีอาการมากน้องไม่เท่ากัน บางรายรู้เท่าทันก็สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง แต่ในบางรายที่ไม่รู้ตัว เกิดการสะสมไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นความเคยชิน และติดเป็นนิสัย โรคนั้นอาจจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเข้ารับการรักษา หรืออาจจะร้ายแรงจนถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย รีบเช็คอาการแล้วทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันว่าตัวเองเสี่ยงเป็นโรคทางจิตเวชหรือไม่

เครดิตภาพ : sanook.com / beartai.com / wegolnter.com

https://www.youtube.com/watch?v=rzB-XRJ2uYE Check List สัญญาณเตือนเข้าข่ายเป็นโรคทางจิตเวชหรือไม่

#7 อาการทางจิตเวช #โรคแปลก #โรคทางจิตแปลกๆ

กลั้นฉี่บ่อย ๆ เสี่ยงโรคกรวยไตอักเสบ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

กลั้นฉี่บ่อย ๆ เสี่ยงโรคกรวยไตอักเสบ

                  ร่างกายของคนเรามีการทำงานเป็นระบบ เพื่อให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกิดความสมดุล ระบบทางเดินปัสสาวะก็เป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่ความสำคัญมาก เป็นการทำงานร่วมกันของอวัยวะหลายส่วน เพื่อผลิตและขับปัสสาวะออกจากร่างกาย รักษาสมดุลของระดับของเหลวในร่างกาย เมื่อเรากลั้นฉี่บ่อย ๆ อาจจะเกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะขึ้นได้ เพราะอะไรจึงเป็นโรคกรวยไต                   การกลั้นฉี่บ่อย เสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ได้ เนื่องจากบริเวณกรวยไตได้รับเชื้อแบคทีเรีย มีทั้งชนิดเฉียบพลัน และเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ที่พบจากมาจากเชื้อแบคทีเรียเอสเชอริเชีย โคไล หรือ อีโคไล พบได้มากถึง 70-95 เปอร์เซ็นต์ พบได้ทุกเพศทุกวัย โดยผู้หญิงมีโอกาสได้รับเชื้อมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นและใกล้กับช่องคลอดและทวารหนัก ทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ ผ่านท่อปัสสาวะได้ง่าย เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เมื่อเราปวดปัสสาวะและถ่ายออกมาทุกครั้ง ร่างกายก็สามารถขับเชื้อโรคมาทางปัสสาวะได้ โดยไม่เกิดการอักเสบ แต่หากกลั้นฉี่บ่อย ๆ และนาน ๆ เชื้อโรคที่แฝงตัวเข้าไปมีการเจริญเติบโตมากขึ้น ฝังตัวในระบบทางเดินปัสสาวะจนเกิดอาการอักเสบและมักจะมีอาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ในส่วนของเด็ก หรือผู้ที่ระบบทางเดินปัสสาวะอุดตัน อาจเสี่ยงเป็นแบบเรื้อรังได้มากกว่า อาการของโรค                   อาการโดยทั่วไปของโรคจะแสดงอาการที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดบริเวณหลังหรือสีข้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปัสสาวะบ่อย […]

กลั้นฉี่บ่อย ๆ เสี่ยงโรคกรวยไตอักเสบ Read More »

วิธีป้องกันหินปูน เพื่อฟันสะอาดไร้คราบ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

วิธีป้องกันหินปูน เพื่อฟันสะอาดไร้คราบ

                  “หินปูน” คือปัญหาสุขภาพปากและฟันที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากแบคทีเรียผสมกับโปรตีนของอาหารที่รับประทานเข้าไปรวมตัวและเกาะติดอยู่บริเวณโคนฟัน เรียกว่าว่า Plaque เมื่อสะสมมากขึ้นจนกลายเป็นหินปูน หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลทำให้เกิดโรคเหงือกและฟันผุได้ นอกจากนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจเวลาพูดคุยกับผู้อื่น แก้ไขง่าย ๆ แค่ทำเป็นประจำ                   การแปรงฟัน เป็นวิธีป้องกันหินปูนที่ง่ายที่สุด ตามปกติต้องแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือหลังอาหารทุกครั้ง และควรเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม ขนาดพอดีกับช่องปากและฟัน หมั่นล้างทำความสะอาดแปรงสีฟันและผึ่งให้แห้งอยู่เสมอ ที่สำคัญเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน นอกจากนี้เพื่อไม่ให้เศษอาหารไปสะสมตามซอกฟันควรใช้ไหมขัดฟันในทุกมื้อที่ทาน รวมถึงการบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากด้วย                   เลือกใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ นอกจากจะช่วยป้องกันฟันผุ ยังมีสารเคลือบฟัน และยังช่วยไม่ให้ไม่เกิดหินปูนตามมาอีกด้วย                   เบคกิ้งโซดา ก็ช่วยได้ ประโยชน์มากมายของเบกกิ้งโซดา ทั้งในเรื่องของการทำอาหาร ยังใช้เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันหินปูน ที่ใช้ได้ผลดีโดยการนำมาถูฟัน จะช่วยให้ฟันขาวและขจัดคราบหินปูนได้อีกด้วย วิธง่าย ๆ คือ นำเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับเกลือครึ่งช้อนชา ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำหมาด แปรงฟันให้ทั่วประมาณสองนาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด นอกจากนี้ยังช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่น                   ใช้วิธีธรรมชาติจากว่านหางจระเข้ เปลือกส้ม เมล็ดงา

วิธีป้องกันหินปูน เพื่อฟันสะอาดไร้คราบ Read More »

เพียงแค่ลดน้ำตาล ร่างกายจะดีขึ้นอย่างไร วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

เพียงแค่ลดน้ำตาล ร่างกายจะดีขึ้นอย่างไร

                  น้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทหนึ่ง สามารถพบได้ในอาหารทั่วไป เช่น น้ำตาลฟรุกโตสในผลไม้ และน้ำผึ้ง น้ำตาลแลกโตสพบในนม เป็นต้น ซึ่งคาร์โบไฮเดรตชนิดนี้มีปริมาณไม่มากพอที่จะก่ออันตรายต่อสุขภาพ เพราะในผักผลไม้มีกากใยช่วยในการขับถ่าย ความเข้มข้นน้ำตาลมีไม่มาก แต่หากรับประทานน้ำตาลอิสระที่มาในรูปแบบของความหวานในอาหารเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ ขนมเค้ก น้ำอัดลม การเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ แม้จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย กระปรี้กระเปร่า แต่นั่นคือภัยร้ายที่แฝงมากับอาหาร                   จากสถิติพบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากกว่าวันละ 20 ช้อนชา ซึ่งในแต่ละวันคนเราไม่ควรทานน้ำตาลเกินร้อยละ 5 ของพลังงานรวม หรือไม่เกิน 6 ช้อนชา นั่นหมายความว่าบริโภคน้ำตาลสูงกว่าปริมาณแนะนำถึง 3 เท่า ส่วนใหญ่มาจากการเติมน้ำตาลอิสระในอาหารและเครื่องดื่ม ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคอ้วน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ดังนั้นลองลดน้ำตาลลงจะรู้สึกว่าร่างกายจะดีขึ้น หัวใจแข็งแรง                   ผลวิจัยพบว่า เมื่อลดน้ำตาลลง จะความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจลดลงมากถึงสามเท่า เพราะน้ำตาลตาลจะเพิ่มระดับอินซูลินในการกระตุ้นระบบประสาท ส่งผลให้การเต้นหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น เมื่องดการกินน้ำตาลลง ระดับคอเลสเตอรอล และไขมันแอลดีแอล ลดลงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์

เพียงแค่ลดน้ำตาล ร่างกายจะดีขึ้นอย่างไร Read More »

เน้นรสชาติอาหารหนักไปทางไหน เสี่ยงเป็นโรคอะไร วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

เน้นรสชาติอาหารหนักไปทางไหน เสี่ยงเป็นโรคอะไร

                  อาหารคือหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญ รสชาติอาหารจึงมีผลต่อพฤติกรรมการเลือกรับประทาน รสชาติที่เปรี้ยว หวาน เผ็ด มัน เค็ม ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเลือกทานที่มีรสจัดจนเกินพอดี แน่นอนว่าการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อมีรสชาติถูกปาก อาหารโดนใจ แต่ร่างกายอาจจะไม่ต้องการ และบางมีโรคร้ายตามมาด้วยก็ได้                   หนักเปรี้ยว ผู้ชื่นชอบรสชาติอาหารหนักเปรี้ยว แม้จะช่วยในการทำงานของตับ ถุงน้ำดี และระบบทางเดินอาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยในการขับถ่าย แต่หากรับประทานมากไป ระบบน้ำเหลืองในร่างกายจะทำงานผิดปกติ ส่งผลให้แผลตามร่างกายหายช้า หรืออาจจะทำให้ท้องเสีย ฟันผุ ร้อนในกระหายน้ำ เป็นต้น                   หนักเผ็ด ความเผ็ดร้อนจะช่วยให้ปอดและลำไส้ใหญ่ทำงานได้เป็นปกติ ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด ขับเสมหะ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขับเหงื่อ ช่วยในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย แต่หากหนักเผ็ดมากจนเกินไป จะทำให้กระเพาะอาหารมีปัญหา เช่นการระคายเคือง กรดในกระเพราะ จนก่อให้เกิดเป็นโรคกระเพาะอาหารตามมาในระยะยาว                   หนักเค็ม โซเดียมมีหน้าที่ในการควบคุมของเหลวในร่างกาย ควบคุมระดับความเป็นกรดด่างของโลหิต รักษาความดันให้อยู่ในระดับคงที่ แก้ท้องผูก แต่หากใครรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียม หรือรสชาติอาหารที่มีความเค็มมากจนเกินไป โซเดียมในร่างกายสูงกว่าปกติ ส่งผลให้คอแห้ง หิวน้ำ

เน้นรสชาติอาหารหนักไปทางไหน เสี่ยงเป็นโรคอะไร Read More »

งดแอลกอฮอล์ 1 อาทิตย์ จะพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

งดแอลกอฮอล์ 1 อาทิตย์ จะพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ

                  ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการเฉลิมฉลอง ประชากรส่วนใหญ่มีนิสัยร่าเริง ชอบเข้าสังคม และมีความสุขเป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต จึงมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นประจำ ทั้งในเรื่องของบรรยากาศที่เป็นใจ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม รวมถึงวันสำคัญของเพื่อนสนิท มิตรสหาย ครอบครัว จนในแต่ละปีปฏิทินไม่มีวันว่างให้ได้พักกายพักสุขภาพให้ฟื้นตัว การงดแอลกอฮอล์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แต่หากพยายามฝืนตัวเองงดดื่มตลอดระยะเวลา 7 วัน ผลที่ได้รับจะเป็นอย่างไรบ้าง ลองมาดูกัน                   ตับดีสุขภาพดี แอลกอฮอล์ประมาณ 1 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 7.1 กิโลแคลอรี่ ยิ่งดื่มมากร่ายกายได้พลังงานสะสมจำนวนมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ อาจจะก่อให้เป็นโรคอ้วนหรือโรคอื่น ๆ ตามมาได้ง่าย ในช่วงเวลานอนหลับพักผ่อนในตอนกลางคืนร่างกายจะขับสารที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกมา ส่งผลให้ตับทำงานหนักมากขึ้น การงดแอลกอฮอล์ใน 7 วันนี้ ตับทำงานน้อยลง ฟื้นฟูตัวเอง ทำให้หลั่งน้ำย่อยได้เป็นปกติ ลดความเสี่ยงโรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับ                   สมองดีรู้สึกดี แอลกอฮอล์เป็นตัวการเข้าไปทำลายเซลล์สมอง ทำให้เกิดเป็นโรคสมองเสื่อมได้ หรืออาการปลายประสาทอักเสบ โดยเฉพาะวัยกลางคนขึ้นไปเซลล์สมองจะฟื้นตัวเองได้ยาก ดังนั้นการงดแอลกอฮอล์หรือเลิกดื่มจะเป็นการช่วยให้สมองทำงานได้ดี มีความกระปรี้กระเปร่า ไม่มีความมึนงง ระหว่างการติดต่อสารกับคนทั่วไป                   เม็ดเลือดดีขับถ่ายดี เม็ดเลือดทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หลอดเลือดและเกร็ดเลือดทำงานได้เป็นปกติ ลดการเกิดภาวะเลือดจาง

งดแอลกอฮอล์ 1 อาทิตย์ จะพบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ Read More »

ความดันต่ำ VS ความดันสูง วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ความดันต่ำ VS ความดันสูง

                  ความดันโลหิต เกิดจากการสูบฉีดเลือดของหัวใจ ค่าที่ได้เกิดจากการบีบตัว และการคลายตัวของหัวใจ โดยค่าปกติจะอยู่ที่ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท หากความดันมีค่าสูงหรือต่ำกว่านี้มากจนเกินไป อาจส่งผลให้เกิดโรคความดันต่ำหรือความดันสูง ได้ ความดันโลหิตต่ำ                   หรือความดันต่ำ คือค่าความดันเลือดต่ำกว่า 90/60 มิลิเมตรปรอท สามารถพบได้ทั้งทุกเพศทุกวัย โดยพบมากที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว สาเหตุเกิดจากการขาดสารอาหาร เช่น วิตามินซี โปรตีน เป็นต้น ทำให้ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรง หรือคลายตัวมากเกินไป ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยจนเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้เลือดไหลเวียนช้า หัวใจบีบตัวน้อยลง หรืออาจจะเกิดจากอาการกลัว ตกใจ ส่งผลให้ความดันต่ำได้ นอกจากนี้การขยายตัวของหลอดเลือดมากจนเกินไป หรือเป็นโรคหัวใจ ก็ส่งผลเช่นกัน                   อาการที่พบโดยทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรง เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ฯลฯ แต่หากปล่อยให้เป็นเรื้องรัง อาจส่งผลต่อสมอง ทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ทางที่ดีรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาจะดีที่สุด การดูแลตัวเองที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น ยืดเส้นยืดสาย

ความดันต่ำ VS ความดันสูง Read More »

ต้องรู้!! วิธีการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ต้องรู้!! วิธีการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด

สุขภาพคือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก การดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญและให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว และวันนี้เราได้นำเอาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคหอบหืดมาแนะนำกัน ซึ่งแน่นอนว่าผู้ป่วยโรคหอบหืดจะต้องมีวิธีการออกกำลังกายที่แตกต่างจากคนทั่วไปเนื่องจากจะมีอาการเหนื่อยง่ายมากกว่าปกติ ลองไปดูกันซิว่าการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดนั้นจะมีวิธีอย่างไรที่ถูกต้องและส่งผลดีต่อสุขภาพไปดูกันเลย รายละเอียดน่ารู้ของโรคหอบหืด ทำความรู้จักกับโรคหอบหืด เป็นที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการหายใจลำบาก หอบ เหนื่อยง่ายดังนั้นจึงไม่สามารถออกกำลังกายหนัก ๆ ได้เหมือนคนที่ไม่มีโรคหอบหืด เพราะอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ แต่หากผู้ที่ป่วยต้องการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูร่างกาย สามารถทำได้ โดยอาจจะต้องผ่านการปรึกษาจากแพทย์ และควรมีวิธีเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย และควรเลือกปรเภทการออกกำลังกายให้เหมาะสมด้วย ข้อควรปฏิบัติก่อนเริ่มออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดแต่ต้องกายออกกำลังกายนั้นสิ่งแรกที่ควรจะทำคือการปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ออกกำลังกายควรอุ่นร่างกาย อย่างน้อย 15 นาที สถานที่ในการออกกำลังกายก็สำคัญควรเลือกสถานที่มีมลภาวะหรือสารก่อภูมิแพ้น้อย และในการออกกำลังนั้นควรเลือกออกกำลังกายช่วงเช้าที่อุณหภูมิไม่สูงและมีสารก่อภูมิแพ้เช่นพวกฝุ่นควันหรือเกสรดอกไม้ต่ำ และหากเลือกออกกำลังกายวันที่มีอากาศร้อนควรเลือกออกกำลังกายในที่ร่ม ประเภทของการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดมักจะทราบดีว่าการออกกำลังประเภทหนัก ๆ อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ แต่ก็ยังมีการออกกำลังกายอีกหลายประเภทที่จะช่วยให้ ร่างกายแข็งแรงได้ เช่น การเล่นโยคะ จะช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น สามารถใช้ฝึกการหายใจได้ การเดิน ที่ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไปที่ระดับความเร็วทำให้เหงื่อซึม จะช่วยให้ระบบหายใจทำงานดีขึ้นได้  การว่ายน้ำ จะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ปอดแข็งแรง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่สามารถทำได้เช่นกัน เช่น แอโรบิค วิ่ง ปั่นจักรยาน  ทั้งนี้แล้วขณะออกกำลังก็ควรพกยาติดตัวเสมอ

ต้องรู้!! วิธีการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด Read More »