วิธีบริหารเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีบริหารเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน

การบริหารเท้าจะเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีเกิดภาวะแทรกซ้อนทางปลายประสาท และมีอาการชาที่เท้า สำหรับอาหารชาที่เท้าจะเกิดจากในกรณีที่เลือดไม่สามารถส่งมาเลี้ยงที่บริเวณเท้าได้อย่างสะดวก สาเหตุจะเกิดจากการที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูง จนเกิดการอุดตันในหลอดเลือด สำหรับท่าที่ใช้ในการบริหารเท้าจะมีส่วนช่วยทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น จึงสามารถช่วยทำให้อาการชาที่เท้าลดลงได้ สำหรับการบริหารเท้าจะมีวิธีต่างๆ ดังนี้ 

ท่าบริหารเท้า 
การทำท่าบริหารเท้าในท่าทางต่างๆ ให้ผู้นั่งตัวตรงบนเก้าอี้ที่มีความแข็งแรง จากนั้นให้เริ่มทำท่าบริหารเท่ากันได้เลย

1. ท่าบริหารนิ้ว  
ให้ผู้ป่วยกระดกปลายนิ้วเท้าทุกนิ้วขึ้นลง ทั้งสองข้าง โดยสามารถเลือกทำทีละข้าง หรือจะทำพร้อมกันทั้งสองข้างก็ได้เช่นกัน โดยให้กระดกนิ้วขึ้นลงเป็นจำวน 10 ครั้ง

2. ท่าบริหารข้อเท้า 
ให้ยกปลายเท้าขึ้น และเส้นเท้าติดพื้น จากนั้นแกว่งไปเท้าไปมา ให้ได้ 10 ครั้ง วิธีนี้ให้สลับทำทั้งสองข้าง  

3. ท่าบริหารฝ่าเท้า 
วิธีนี้ให้ผู้ป่วยกดฝ่าเท้าลงที่พื้น และกระดกส้นเท้าขึ้น จากนั้นให้ทำการหมุนส้นเท้าไปมาจำนวน 10 ครั้ง โดยให้สลับทำทั้งสองข้าง  

4. ท่ากระดกปลายเท้า 
ท่านี้ให้ผู้ป่วยกระดกปลายเท้าขึ้น แล้วให้ยกขึ้นลงให้ได้ 10 ครั้ง ท่านี้สามารถทำพร้อมกันได้ทั้งสองข้าง 


5. ท่ายกส้นเท้า 

เป็นท่าที่ทำสลับกับท่ากระดกปลายเท้า ท่านี้ให้ผู้ป่วยกดปลายเท้าลงและทำการยกบริเวณเส้นเท้าขึ้น พร้อมกันทั้งสองครั้ง ให้ทำการยกส้นเท้าขึ้นลงเป็นจำนวน 10 ครั้ง 

6. ท่าหมุนปลายเท้า 

สำหรับท่านี้ให้ผู้ป่วยกดเส้นเท้าลงและกระดกปลายเท้าขึ้นจากนั้นให้หมุนเป็นวงกลม โดยหมุนให้ได้ทั้งหมด 10 ครั้ง ทั้งสองข้าง 

7. ท่าหมุนส้นเท้า 

โดยให้ผู้ป่วยยกเส้นเท้าขึ้นและกดปลายเท้าลง จากนั้นให้ทำการหมุนเป็นวงกลมให้ได้ 10 ครั้ง ท่านี้อาจจะทำทีละข้าง หรือสามารถทำพร้อมกันทั้งสองข้างก็ได้เช่นกัน 

8. ท่างุ้มฝ่าเท้า 

ให้ผู้ป่วยยกขาขึ้นเหยียดให้ตรงและทำการงุ้มฝ่าเท้าเข้าหาตัว โดยให้ทำสลับขาซ้ายขวา เป็นจำนวน 10 ครั้ง 

การบริหารเท้าและสำรวจเท้าทุกวัน จะช่วยทำให้ผู้ป่วยหมดกังวลในการเกิดปัญหาแผลเบาหวานเท้า และช่วยลดอาการชาบริเวณปลายเท้าได้ นอกจากนี้แล้วผู้ป่วยก็อย่าลืมดูแลทำความสะอาดเท้าอย่างสม่ำเสมอและเลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสม รวมทั้งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเท้าเป็นประจำหรือตามนัด

เครดิตภาพ : sanook.com, nivea.co.th

#รักสุขภาพ #ผู้ป่วยเบาหวาน #การดูแลตัวเอง

การติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่

การติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่จะมีความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา เพราะจะมีความรุนแรงมากกว่า สำหรับเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคจะเป็นเชื้อที่มีชื่อว่า ไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) โดยไวรัสตัวนี้จะถูกแยกออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ ชนิดเอ บี และซี และทั้งสามชนิดนี้ยังมีการแยกย่อยออกไปได้อีกหลายสายพันธุ์ แต่ที่พบระบาดมากที่สุดในบ้านเรา จะเป็นชนิดเอ แต่ก็ยังมีโอกาสในการกลายพันธุ์กันได้อีกด้วย และเมื่อเกิดการกลายพันธุ์ขึ้น อาการของโรคก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย โดยอาการอาจจะทำให้ผู้ป่วยถึงแก่เสียชีวิตได้ โรคนี้ยังเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะติดง่าย โดยมีวิธีในการติดต่อของโรคดังนี้  การติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่  โรคไข้หวัดใหญ่จะมีการติดต่อได้ง่ายทางลมหายใจ โดยเฉพาะจากคนสู่คน สำหรับวิธีการติดต่อจะได้แก่  – ติดต่อจากการไอหรือจามของผู้ป่วย สำหรับวิธีนี้เมื่อผู้ป่วยไอหรือจามโดยไม่มีการปิดปาก เชื้อไวรัสจะมาพร้อมกับละอองน้ำลายและเข้าไปสู่ผู้อื่นผ่านทางจมูก ปาก และเยื้อบุตา – ติดต่อจากการสัมผัสเสมหะของผู้ป่วย เช่น การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน การรับประทานอาหารที่ไม่มีช้อนกลาง และการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้า เป็นต้น  – ติดต่อด้วยการที่เราไปสัมผัสสิ่งของที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสอยู่แล้ว โดยการจับ หรือไปโดนโดยไม่ได้ตั้งใจ  วิธีการป้องกัน  สำหรับวิธีการป้องกันสามารถทำได้หลายวิธี แต่ควรทำอย่างสม่ำเสมอแม้ในช่วงที่ไม่มีการระบาดของโรค โดยสามารถทำได้ดังนี้  – รักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ  – […]

การติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่ Read More »

สาเหตุทั่วไปของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร

สาเหตุทั่วไปของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหารเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นเนื่องจาก การที่ร่างกายของเรามีกรดในกระเพาะอาหารมากจนเกินไป  หรือในกรณีที่เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลาย จึงทำให้เราเกิดเป็นโรคกระเพาะอาหาร และสำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการทั้งสองอย่างนี้จะได้แก่   1. โรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหาร สำหรับสาเหตุของการเกิดกรดในกระเพาะอาหารจะได้แก่  – การรับประทานอาหารที่ไม่เป็นเวลา  – เกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล  – การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ และยาดอง เป็นต้น  – การสูบบุหรี่เป็นประจำ  – การดื่มกาแฟ      2. โรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากเยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลาย  เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลายมักจะเกิดมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้  – การรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ และเป็นเวลานาน เช่น ยาชุดแอสไพริน ยาสเตียรอยด์ ยาแก้ปวด ยาลูกกลอนต่างๆ เป็นต้น  – การรับประทานอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน เช่น รสเผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัด เป็นต้น  – การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นประจำ และเป็นเวลานาน เครื่องดื่มเหล่านี้จะมีกรดที่สามารถกัดกระเพาะได้ เช่น เหล้า เบี้ย และยาดอง เป็นต้น  สาเหตุต่างๆ

สาเหตุทั่วไปของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร Read More »

อาการที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน

อาการที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน

สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอาการในเริ่มแรกอาจจะสังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่พอเป็นไปสักระยะอาการต่างๆ จะเริ่มแสดงออกมากขึ้น จนเราสามารถสังเกตได้ โดยจะมีอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้  อาการของโรคเบาหวาน  1. ผู้ป่วยจะปวดปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน เพราะร่างกายต้องการขับน้ำตาลออกจากกระแสเลือด น้ำตาลจึงถูกขับออกมาจากทางปัสสาวะ รวมทั้งถ้าใครปัสสาวะทิ้งไว้อาจจะเกิดมีมดมาตอมปัสสาวะได้  2. มีอาการกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายขับน้ำตาลออกมาพร้อมปัสสาวะ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ จึงทำให้รู้สึกกระหายน้ำเพื่อเป็นการทดแทนน้ำที่สูญเสียไป แต่ถึงทำการดื่มน้ำแล้วก็จะยังไม่รู้สึกว่าอาการกระหายน้ำจะดีขึ้น  3. ติดเชื่อตามผิวหนังได้ง่าย และมักเกิดเชื่อราตามผิวหนัง รวมทั้งบริเวณช่องคลอด สาเหตุจะมาจากร่างกายขาดน้ำและผิวหนังแห้งเป็นขุย ขาดความชุ่มชื่นจึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อราได้ง่าย  4. เกิดเป็นฝีขึ้นเป็นประจำตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และจะหายช้า รวมทั้งแผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณลำตัวก็จะหายช้ากว่าปกติด้วยเช่นกัน  5. มีอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลภายในกระแสเลือดมาเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย  6. น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเผาพลาญน้ำตาลได้ จึงหันไปเผาพลาญไขมันเพื่อมาใช้เป็นพลังงานแทน  7. มีอาการเหน็บชาและปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณแขนและขา เนื่องจากระดับน้ำตาลกลูโคสในร่างกายสูงเป็นเวลานานทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะเส้นประสาทต่างๆ ที่บริเวณกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกว่าเกิดอาการเส้นประสาทอักเสบ อาการจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลา ถ้าปล่อยไว้นานอาการของโรคเหน็บชา และอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย  8. สายตาพล่ามัว วิสัยทัศน์ในการมองเห็นไม่ดี เนื่องจากระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่มากขึ้น และร่างกายทำการขับออกมาทางเลนส์ตา

อาการที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน Read More »

อาชีพที่มีโอกาสเกิดปัญหานิ้วล็อค

อาชีพที่มีโอกาสเกิดปัญหานิ้วล็อค

นิ้วล็อคจะเกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ส่วนมากจะพบได้ในผู้ที่ใช้นิ้วทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน เวลาที่เกิดอาการนิ้วล็อคนิ้วจะหักงอลงมา ทำให้มีอาการปวด บางครั้งเราต้องทำการง้างกลับคืน สำหรับวิธีการรักษาในปัจจุบันแพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดเล็ก ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน และไม่เจ็บมาก รวมไปถึงการทำท่ากายบริหารนิ้วก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ แต่แบบหลังอาจต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย ขึ้นอยู่กับว่าเกิดการอักเสบมากแค่ไหน และที่สำคัญคนที่เคยเป็นแล้วได้ทำการรักษาจนหายแล้ว แต่ยังกลับไปใช้พฤติกรรมเหมือนเดิม ก็อาจมีโอกาสกลับมาเป็นอีกได้ คราวนี้เราลองไปดูกันต่อดีกว่าว่ามีอาชีพไหนบ้างที่เสี่ยงจะเกิดอาการนิ้วล็อคได้  1. นักกอล์ฟ  จะเกิดจากการเกร็งในการจับไม้กอล์ฟที่แน่นจนเกินไป รวมไปถึงการเหวี่ยงแรงสวิงมากเกินไป และการซ้อมติดต่อกันเป็นเวลานาน สิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้เกิดอาการนิ้วล็อค และการเลือกไม้กอล์ฟที่มีน้ำหนักมากและจับเป็นเวลานาน ก็ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบของเส้นเองได้เช่นเดียวกัน  2. ช่าง  ส่วนมากอาชีพนี้จะเน้นการใช้มือและนิ้วในการทำงาน โดยเฉพาะงานช่างฝีมือต่างๆ ที่ต้องอาศัยความประณีตและละเอียดอ่อนและความต่อเนื่องในการทำงาน   3. นักยูโด  ในระหว่างการฝึกซ้อมจะเน้นการใช้กำลังมือและแขนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้สามารถยกคู่ต่อสู้และทำการทุ่มได้ และท่าในการฝึกซ้อมบางท่าก็จะเป็นการฝึกกำลังของข้อนิ้วที่ต้องทำการฝึกติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและมีปัญหานิ้วล็อคตามมาได้ 4. แม่บ้าน  หมายถึงผู้ที่ทำอาชีพแม่บ้าน รวมไปถึงผู้ที่อยู่บ้านและต้องทำงานบ้านอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ทำกับข้าว ซักเสื้อผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน หรือแม้แต่ผู้ที่หิ้วถุงกับข้าวหนักๆ เป็นประจำ ทราบกันไหมว่าคุณก็มีโอกาสเกิดอาการนิ้วล็อคได้เช่นกัน  5. หมอนวดแผนโบราณ  อาชีพนี้ต้องใช้แรงจากมือและนิ้วเป็นหลักกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่โป้งที่จะต้องทำการบีบและกดตามกล้ามเนื้อของลูกค้า   6. พนักงานออฟฟิศ ปัจจุบันการปฏิบัติงานส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก

อาชีพที่มีโอกาสเกิดปัญหานิ้วล็อค Read More »

บอกเล่าประโยชน์ของ “น้ำแร่”

บอกเล่าประโยชน์ของ “น้ำแร่”

ในยุคสมัยที่ผู้คนหันมาใส่ใจในสุขภาพมากยิ่งขึ้น น้ำเปล่าที่เราเลือกดื่มกันอาจไม่ใช่เพียงน้ำเปล่าทั่วไปที่ได้รับการคัดกรองผ่านรังสีมาอย่างเดียว แต่ยังมีหลายคนที่หันมาดื่มน้ำแร่ซึ่งก็จัดอยู่ในประเภทน้ำเปล่านี่ล่ะค่ะ แต่คุณประโยชน์ของน้ำแร่นั้นมีมากกว่าน้ำเปล่าทั่วไปมาก เห็นใส ๆ อย่างนี้ แต่ของดีเลยล่ะ เพราะน้ำแร่เป็นน้ำที่ได้มากจากน้ำบาดาลตามแหล่งธรรมชาติแท้ทำให้มีแร่ธาตุมากมายที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงด้วย วันนี้เราก็จะมาบอกเล่าถึงประโยชน์ของน้ำแร่ให้ทุกคนได้รู้กันว่าทำไมคุณจึงควรเลือกดื่มเป็นอย่างยิ่ง น้ำแร่มีความสะอาด หากใครที่เคยซื้อน้ำแร่มาดื่มก็คงรู้ว่าเมื่อดื่มไปแล้วจะเกิดความรู้สึกเย็นสดชื่นและดูมีความบริสุทธิ์กว่าน้ำเปล่าทั่วไปมาก ด้วยน้ำแร่นั้นมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดไม่ว่าจะเป็นน้ำพุร้อนหรือน้ำพุเย็นที่อยู่บนเทือกเขาสูงทำให้มีความสะอาดกว่าน้ำทั่วไป น้ำแร่บางอย่างก็จะมีรสชาติแฝงที่แตกต่างกัน น้ำแร่บางที่จะมีรสแฝงที่หวานและบางน้ำแร่ก็จะมีรสแฝงที่เค็ม ยิ่งนำไปแช่ตู้เย็นแล้วดื่มคุณจะรู้สึกว่าร่างกายได้รับความชุ่มชื่นมากขึ้นเสมือนรับประทานเกลือแร่เลยล่ะ น้ำแร่มีแร่ธาตุมากมายที่ดีต่อสุขภาพ น้ำแร่เป็นน้ำที่ดีต่อสุขภาพมาก เพราะมีแร่ธาตุมากมายที่ละลายมากับน้ำจากแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ แคลเซียม ซึ่งช่วยสร้างกระดูกและฟัน รวมถึงอาการปวดประจำเดือน ,แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุในกลุ่มของเกลือแร่ ที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน สามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่เสียไปได้อย่างดีตามที่เราเข้าใจจริง ๆ และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองได้อีกด้วย เหมาะกับคนที่กำลังอ่านหนังสือสอบมาก ,ฟลูออไรด์ ช่วยในการป้องกันฟันผุ ,ไอโอดีน ช่วยควบคุมระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย ,โพแทสเซียม มีการทำงานควบคู่ไปกับคุณภาพของแร่โซเดียมในการควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย และช่วยทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติ คุณภาพคับขวดจริง ๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนจะเลือกน้ำแร่เป็นทางเลือกสุขภาพกัน น้ำแร่ช่วยรักษาผิว ในน้ำแร่จะมีเกลือแร่และแร่ธาตุมากมายที่ช่วยปรับสมดุลร่างกายและผิวของคุณให้เปล่งปลั่ง เกิดความชุ่มชื้นได้โดยไม่ต้องไปรับประทานคอลลาเจนเลย แค่เพียงคุณดื่มน้ำแร่วันละ 1 ขวดก็สามารถช่วยให้คุณมีผิวเนียนสวย เกิดออกซิเจน และทำให้เซลล์ผิวมีระบบการทำงานที่ดีได้ด้วย ดังนั้นให้น้ำแร่เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้สุขภาพร่างกายของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงมีวัยที่ดีและแข็งแรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนที่คุณรักนะคะ เครดิตภาพ : pixabay #ประโยชน์น้ำแร่ #ลดน้ำหนัก

บอกเล่าประโยชน์ของ “น้ำแร่” Read More »

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ปัจจุบันอัตราผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานในบ้านเราเพิ่มสูงมากขึ้น และที่สำคัญโรคนี้จะมีอาการเรื้อรังรักษาไม่หายขาดและมักจะเกิดอาการของโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา แต่ก็พบว่านอกจากการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันหรือการใช้สมุนไพรแล้ว ถ้าผู้ป่วยใส่ใจดูแลตัวเองในการใช้ชีวิตประจำวันจะมีส่วนช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ และยังเป็นการช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ป่วยยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป โดยมีวิธีในการปฏิบัติตัวดังนี้  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรควบคุมการรับประทานอาหาร แต่ต้องให้ครบหลักโภชนาการ 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล หันมาใช้วิธีการบริโภคผัก ผลไม้ รวมไปถึงอาหารประเภทธัญพืชต่างๆ แทน โดยเฉพาะข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนไทย ผู้ป่วยควรหันมาบริโภคเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือแทนข้าวขัดขาว และถ้าผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมากควรควบคุมน้ำหนักกันด้วย เพราะโรคอ้วนเป็นปัญหาสำคัญของการเกิดโรคเบาหวานและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้เป็นเวลาครบทั้ง 3 มื้อ  2. ดื่มน้ำให้พอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 7-8 แก้ว  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และยังเป็นการช่วยเผาพลาญพลังงานภายในร่างกาย แต่อย่าออกกำลังแบบหักโหมจนเกินไป เพราะอาจทำให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลียเกิดขึ้นได้     4. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอและไม่เครียด ถ้ารู้สึกเครียดให้หาอะไรทำเพื่อเป็นการช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย  5. สำหรับผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ ควรงดการสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ได้ง่ายยิ่งขึ้น   6. ผู้ป่วยที่รับประทานยาไม่ว่าจะเป็นแผนปัจจุบันหรือสมุนไพร รวมทั้งผู้ที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ บางครั้งอาจจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยมีอาการใจสั่น รู้สึกหวิวๆ หน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม เป็นอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ควรหาของหวานรับประทานหรืออมน้ำตาล  7.

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน Read More »

อาการต่อมลูกหมากโตและแนวทางการรักษา

อาการต่อมลูกหมากโตและแนวทางการรักษา

ต่อมลูกหมากโตจะเป็นภาวะที่ต่อมลูกหมากที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ท่อปัสสาวะมีหน้าที่ในการผลิตของเหลวสำหรับหล่อเลี้ยงตัวอสุจิให้สมบูรณ์และแข็งแรง เพื่อพร้อมต่อการสืบพันธุ์ เมื่อต่อมลูกหมากโตขึ้นผิดปกติไปจากเดิมผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะลำบาก สาเหตุก็เพราะต่อมลูกหมากใหญ่จนไปเบียดท่อทางเดินปัสสาวะนั่นเอง ในระยะเริ่มต้นผู้ป่วยอาจจะแค่ปัสสาวะออกได้น้อยแต่ถ้าบ่อยทิ้งไว้ก็อาจจะถึงขั้นปัสสาวะไม่ออกกันเลยทีเดียว โรคนี้ยังสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้แก่ผู้ป่วยในการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับการเกิดโรคมักจะสัมพันธ์กับอายุ โดยคุณผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้นหรือประมาณ 40 ปี ขึ้นไป มักจะพบอาการของต่อมลูกหมากโต สาเหตุสันนิษฐานว่าเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในเพศชาย แต่อาการปัสสาวะไม่ออกบางครั้งก็เกิดจากสาเหตุอื่น ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่าปัสสาวะติดขัดควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษา โรคต่อมลูกหมากโตเมื่อมีอาการมากขึ้นยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของผู้ป่วยได้ สำหรับแนวทางรักษาจะมีทั้งแบบใช้ยาแผนปัจจุบัน, การผ่าตัด และการใช้สมุนไพร สำหรับแนวทางในการรักษา พอจะสรุปได้ดังนี้   1. การใช้ยาแผนปัจจุบัน ถ้าเป็นในระยะเริ่มแรกมีอาการยังไม่รุนแรงมาก หรืออาจจะยังไม่อักเสบ และผู้ป่วยยังสามารถถ่ายปัสสาวะได้ปกติ เพียงแต่อาจออกน้อยหรือออกลำบาก รวมทั้งไม่ใช่อาการของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แพทย์จะทำการรักษาโดยการเฝ้าติดตามอาการและให้ผู้ป่วยเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ถ้าอาการเริ่มมากขึ้นแพทย์จะให้รับประทานยาที่เหมาะสมและแก้ไขอาการที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ยาจะมีฤทธิ์ไปกระตุ้นให้ต่อมลูกหมากหดตัวลง  2. การผ่าตัด บางรายที่อาการค่อนข้างมากรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะสั่งให้ทำการผ่าตัด สำหรับวิธีการผ่าตัดจะได้แก่  – การผ่าตัดโดยการใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในปัจจุบัน  – การผ่าตัดโดยการเปิดหน้าท้อง ซึ่งจะต้องผ่าด้วยวิธีไหนนั้น แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยอีกครั้ง  3. วิธีการอื่น เช่น  – การขยายท่อปัสสาวะด้วยการใส่ท่อคาไว้ อาจกระทบการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยบ้าง – การจี้ต่อมลูกหมากด้วยความร้อน เช่น การเลเซอร์, การใช้คลื่นความร้อน

อาการต่อมลูกหมากโตและแนวทางการรักษา Read More »

การรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้อินซูลินและสมุนไพร

การรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้อินซูลินและสมุนไพร

โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการ โดยอินซูลินจะมีหน้าที่ในการนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายมีอินซูลินไม่เพียงพอต่อการใช้งานจึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดเป็นโรคเบาหวาน วิธีการรักษาในผู้ป่วยบางรายจึงจำเป็นต้องใช้อินซูลินโดยวิธีการฉีดเข้าสู่ร่างกาย แต่ในผู้ป่วยบางรายการให้ทานยาหรือการใช้สมุนไพรรักษา ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน โดยโรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ ประเภทของโรคเบาหวาน 1. โรคเบาหวานประเภทที่ต้องพึ่งอินซูลิน เป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากกรรมพันธุ์, เกิดจากการแพ้สารเคมีหรือยาบางชนิด สำหรับโรคเบาหวานประเภทนี้ร่างกายของผู้ป่วยจะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกาย  2. โรคเบาหวานประเภทที่ไม่ต้องพึ่งอินซูลิน สำหรับโรคเบาหวานประเภทที่สองนี้ร่างกายของผู้ป่วยจะยังสามารถผลิตอินซูลินได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ผู้ป่วยประเภทนี้คุณหมอจะสั่งเป็นยาเม็ดให้รับประทาน รวมถึงการใช้สมุนไพร แต่ในบางครั้งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ก็อาจจะสั่งให้ฉีดอินซูลินบ้างเป็นครั้งคราว สำหรับสาเหตุของโรคเบาหวานประเภทที่สองนี้มักจะเกิดจาก ความอ้วน เมื่ออายุมากขึ้น การได้รับยาบางชนิด และคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น วิธีการรักษาโรคเบาหวาน  การรักษาโรคเบาหวานในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี ซึ่งจะได้แก่  1. การรักษาโดยใช้อินซูลิน จะใช้กับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่หนึ่ง และประเภทที่สองในบางครั้ง วิธีก็คือคุณหมอจะทำการฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายทางกล้ามเนื้อ แต่บางครั้งผู้ป่วยบางรายหรือญาติของผู้ป่วยก็จะเรียนรู้วิธีการฉีดและทำการฉีดให้แก่ผู้ป่วยเองโดยไม่ต้องเสียเวลามาพบแพทย์ เพราะการฉีดอินซูลินจำเป็นต้องฉีดทุกวัน จนกว่าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะอยู่ในระดับปกติ หรือตามการวินิจฉัยของแพทย์ 2. การรับประทานยาเม็ด จะเป็นกรณีของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่สอง ที่มีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดยังไม่มาก สามารถรับประทานยาเม็ดควบคุมได้  3.

การรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้อินซูลินและสมุนไพร Read More »

คำแนะนำในการดูแลเด็กที่ป่วยเป็นเบาหวาน

คำแนะนำในการดูแลเด็กที่ป่วยเป็นเบาหวาน 

เมื่อเด็กเกิดป่วยเป็นโรคเบาหวาน การดูแลเด็กให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติจัดได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ โรคเบาหวานในเด็กอาจจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ปกครองสามารถช่วยกันดูแลรักษาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดให้เป็นปกติได้ ก็จะมีส่วนช่วยทำให้เด็กๆ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ สำหรับวิธีการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานในเรื่องต่างๆ จะได้แก่  1. ควรให้เด็กรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ หรือใครที่ต้องทำการฉีดอินซูลินก็ควรทำการฉีดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนเกินไป  2. รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ สำหรับภาวะนี้อาจจะทำให้เด็กมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจจะหมดสติได้ ถ้าเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำคุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกน้อยอมน้ำตาล หรือดื่มน้ำหวานก็จะสามารถช่วยให้อาการต่างๆ เหล่านี้ดีขึ้นได้  3. ถ้าเด็กมีอาการป่วยหรือมีอาการของโรคอื่นๆ เกิดขึ้น ควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะยาบางชนิดมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติได้  4. ถ้าเด็กเกิดเป็นแผลตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานแผลมักจะหายช้า และจะอักเสบสุกลามได้ง่าย  3. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้เพื่อให้ร่างกายสามารถเผาพลาญพลังงานได้ดีขึ้น 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง การออกกำลังกายยังสามารถช่วยทำให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น จึงสามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของการเกิดโรคได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ควรให้เด็กออกกำลังอย่างหักโหมจนเกินไป และควรเลือกการออกกำลังที่เหมาะสำหรับเพศ อายุ ของเด็กในช่วงนั้นด้วย   5. ดื่มน้ำสะอาดอย่างสม่ำเสมอให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ คุณแม่ควรเอาใส่ใจดูแล แต่ถ้าเป็นเด็กที่โตสามารถรู้เรื่องสิ่งต่างๆ

คำแนะนำในการดูแลเด็กที่ป่วยเป็นเบาหวาน  Read More »