ปวดตรงนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าควรประคบร้อนหรือเย็น

ปวดตรงนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าควรประคบร้อนหรือเย็น วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

การประคบร้อนหรือเย็น เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ ของร่างกาย แต่หลายคนก็ไม่เคยรู้ว่าการประคบแบบไหนใช้ในสถานการณ์ใด หรือไม่มีมีความแตกต่างกัน ทำให้นำไปใช้อย่างผิดวิธี ส่งผลให้อาการเจ็บปวดเหล่านั้นไม่หาย บางครั้งอาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม มาดูกันว่าปวดแบบไหนควรประคบอย่างไร

ข้อแตกต่างระหว่างประคบเย็น-ร้อน

                  การประคบเย็น เป็นการใช้ความเย็นในการบรรเทาอาการปวดบวมที่อาจจะเกิดจากการบาดเจ็บอย่างเฉียบพลัน เพราะความเย็นนี้จะช่วยให้เส้นเลือดมีการหดตัว ทำให้เลือดไหลออกมาน้อยลง หากปวดหรือได้รับบาดเจ็บ ควรจะประคบด้วยความเย็นทันที ภายใน 24-48 ชั่วโมง ใครประคบประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที อาการที่ใช้ความเย็นประคบ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ ปวดฟัน ปวดบวมบริเวณข้อเท้า ข้อเคล็ด เลือดกำเดาไหลออกมา หรือการปวดบวมในบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือเริ่มมีอาการใหม่ ๆ เป็นต้น โดยอุปกรณ์สำหรับการประคบเย็น อาจเป็นแผ่นเจลสำเร็จรูปที่แช่ไว้ในตู้เย็น หรือในถังน้ำแข็ง แม้แต่ถุงน้ำแข็งที่ทำขึ้นเองก็ได้ การประคบให้ใช้ถุงพลาสติกขนาดพอดี เติมน้ำเปล่าผสมกับน้ำแข็ง แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้มีความเย็นมากจนเกินไป แล้วนำมาวางไว้บริเวณที่ผิวหนังที่เจ็บปวด หากเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา เท้า อาจใช้การแช่ลงไปในภาชนะบรรจุน้ำเย็น ในแต่ละครั้งให้แช่ประมาณ 15-20 นาที ส่วน การประคบร้อน เป็นการใช้ความร้อนในการเข้าไปกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ลดอาการบาดเจ็บ ปวดเกร็ง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อต่าง ๆ ให้เกิดความผ่อนคลาย ในการใช้ความร้อนประคบจะเริ่มหลังจากที่อาการปวดได้ผ่านไปแล้วกว่า 48 ชั่วโมงขึ้นไป ประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน ครั้งละ 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการปวด ผ่อนคลายกลามเนื้อลง อาการควรประคบ เช่น การปวดตึงบริเวณกล้ามเนื้อ คอ หลัง บ่า น่อง ประจำเดือน เป็นต้น อาจใช้แผ่นเจลความร้อนสำเร็จรูป กระเป๋าน้ำร้อน หรือใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนก็ได้ แต่อุณหภูมิที่เหมาะสมไม่เกิน 45 องศาเซลเซียส และไม่ควรร้อนมากไป นาน หรือถี่เกินไป ที่สำคัญไม่ประคบบริเวณบาดแผลเปิด หรือมีเลือดออก เพราะจะทำให้มีอาการอักเสบมากขึ้น

ข้อควรระวัง

              ในการประคบร้อน ไม่ควรประคบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจนเกิดเป็นแผลติดเชื้อเรื้อรังขึ้นได้ และในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน หรือภาวะโรคอื่น ๆ รวมถึงโรคเรนอด์ ควรให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากในบริเวณที่ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึก ส่วนในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง กลุ่มอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ส่วนข้อระวังในการประคบเย็นนั้น ไม่ควรใช้กับผู้ที่มีอาการแพ้หรือมีความไวต่อความเย็น เพราะอาจเกิดผื่น ลมพิษ บวม ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ ที่สำคัญควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากต้องประคบบริเวณดวงตา เนื่องจากอาจจะได้รับอันตรายจากสารเคมีได้หากมีการรั่วของสารเคมีภายในเจลสำเร็จรูป นอกจากนี้ไม่ควรประคบเย็นในกรณีที่มีการบาดเจ็บอย่างรุนแรง เพราะร่างกายอาจเปลี่ยนแปลงเกินกว่าที่ความเย็นจะเข้าไปช่วยบรรเทาได้ อีกทั้งไม่ควรนอนหลับในขณะที่ประคบอยู่

a woman applying cold pack on her arm

              คงพอจะรู้แล้วว่า อาการปวดแบบไหนเราควรจะประคบร้อน และแบบไหนประคบเย็น รวมถึงระยะเวลา และจำนวนครั้งในการประคบที่มีความเหมาะสม โดยพิจารณาเบื้องต้นว่าหากมีการบาดเจ็บแบบเฉียบพลันร่วมกับอาการบวมให้เลือกใช้ความเย็น แต่หากเป็นอาการปวด ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือมีอาการร่วมกับการตึงกล้ามเนื้อควรใช้ความร้อน เพื่อให้ร่างกายหายจากอาการปวดเหล่านั้น กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

เครดิตภาพ : health4senior.com / chiangmainews.co.th / thaihealth.or.th

YouTube :

ประคบร้อน-เย็น ทำอย่างไร

 ประคบร้อน หรือเย็น เลือกใช้อย่างไร

#ประคบร้อนหรือเย็น #การปฐมพยาบาลเบื้องต้น #การประคบแก้ปวดเมื่อย

วิ่งหรือเดิน อะไรช่วยเบิร์นไขมันมากกว่ากัน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

วิ่งหรือเดิน อะไรช่วยเบิร์นไขมันมากกว่ากัน

กระแสการออกกำลังกายไม่เคยลดน้อยลง และดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การวิ่งหรือเดินเร็วเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาเข้าฟิตเนส หรือไปเล่นกีฬาที่ยิมเป็นเวลานาน ๆ จึงทำให้เกิดคำถามว่าการเดินและวิ่งแตกต่างกันอย่างไร แล้วแบบไหนที่จะสามารถช่วยเบิร์นไขมันได้มากกว่ากัน ลองมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน การเดินหรือวิ่ง เผาผลาญได้ดีกว่ากัน                   สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาแต่อยากจะออกกำลังกายคือการวิ่ง หรือเดิน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานไม่แพ้ประเภทอื่น ๆ ซึ่งโดยปกติคนเราต้องมีการเผาผลาญพลังงานให้ได้ประมาณ 3,500 แคลอรี่ เพื่อให้ลดน้ำหนักได้ประมาณ 1 ปอนด์ หรือ 0.45 กิโลกรัม หากเป้าหมายที่แท้จริงของเราคือการลดน้ำหนัก ควรออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนการเดินเร็วจะช่วยให้เรานั้นมีรูปร่างที่ดีขึ้นนั่นเอง สำหรับการเดินเร็วนั้นก็ให้ประโยชน์เช่นเดียวกันกับการวิ่ง แต่ว่าการวิ่งสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าเป็นสองเท่า ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเรามีน้ำหนัก 72 กิโลกรัม หากวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะสามารถเผาผลาญได้มากถึง 606 แคลอรี่ แต่ในขณะที่การเดินเร็วสูงสุดทำได้ 5.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน จะเผาผลาญอยู่ที่ประมาณ 314 แคลอรี่ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็วหรือวิ่งก็สามารถเบิร์นไขมันได้พอ ๆ กัน หากอยู่ในขอบเขตระยะทางที่เท่า ๆ กัน สำหรับใครที่ไม่อยากจะวิ่ง […]

วิ่งหรือเดิน อะไรช่วยเบิร์นไขมันมากกว่ากัน Read More »

คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbs) คืออะไร อยู่ในอาหารไหนบ้าง วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbs) คืออะไร อยู่ในอาหารไหนบ้าง

คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) เป็นสารชีวโมเลกุลเกิดจากโมเลกุลคาร์บอนรวมกันกับน้ำ สูตรทางเคมีคือ (C•H2O)n โดยที่ n เป็นจำนวนที่มากกว่า 3 ขึ้นไป โดยเป็นหนึ่งในสารอาหารหลัก ประกอบกับ ไขมัน และโปรตีน ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ปกติทั่วไป ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรสให้กลายเป็นกลูโคสเพื่อใช้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดกลายเป็นพลังงานให้กับเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ มาดูกันว่าคาร์โบไฮเดรสเชิงเดี่ยวกับเชิงซ้อนคืออะไร มีในอาหารประเภทไหนบ้าง ไปดูพร้อม ๆ กัน ประเภทของคาร์โบไฮเดรต                   1. คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbs) อาหารที่ทานเข้าไปจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลแทบจะทันที ทำให้เกิดการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกว่ามีพลังงานขึ้นมาในทันที เพราะว่าน้ำตาลเป็นพลังงานของร่างกาย แต่เมื่อมีปริมาณที่มากจนเกินไป พลังงานส่วนเกินนี้จะถูกแปรสภาพให้กลายเป็นไขมันสำหรับสะสมเป็นพลังงานสำรอง ทำให้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะมีไขมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงกว่าปกติ ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลลง แต่หากสารตัวนี้หลั่งออกมามากจนเกินไป ก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเดิม บางรายอาจหน้ามืดเป็นลม และกระบวนการทั้งหมดนี้นำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานได้ เนื่องจากมีการหลั่งสารอินซูลินบกพร่องนั่นเอง อาหารจำพวกนี้ได้แก่ แป้งขัดขาว ขนมปังขัดสี ข้าวสวย ข้าวเหนียว น้ำตาลทรายขัดขาว ขนมปังขาว

คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Simple Carbs) คืออะไร อยู่ในอาหารไหนบ้าง Read More »

มีอาการแบบนี้รึเปล่า Revenge Bedtime Procrastination เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

มีอาการแบบนี้รึเปล่า Revenge Bedtime Procrastination เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน

หลายคนกลับจากที่ทำงานมาเหนื่อย ๆ จากกิจกรรมต่าง ๆ มาตลอดทั้งวัน แต่พอถึงเวลากลางคืนกลับตาสว่าง หากอะไรทำจนไม่หลับไม่นอน เผลออีกทีก็เข้าสู่เวลารุ่งสางแล้ว ความเป็นจริงแล้วอาการแบบนี้อาจจะไม่เป็นโรคนอนไม่หลับแต่อาจเป็นอาการของ Revenge Bedtime Procrastination หรือการเหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน เพื่อใช้เวลากับตัวเอง เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ในช่วงเวลากลางวันไม่มีเวลาที่จะทำอะไรที่อยากทำนั่นเอง กลางวันไม่ว่าง กลางคืนจึงไม่นอน                   เคยลองถามตัวเองกันหรือไม่ว่าทำไมเราต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ในตอนกลางคืนแทนที่เราจะทำกิจกรรมเหล่านั้นในตอนกลางวัน หลายคนอาจจะบอกว่า เพราะในเวลากลางวันนั้นเรายุ่งที่จะทำงานมากเกินกว่าจะใช้เวลากับตัวเอง ทำให้อดทำในสิ่งที่เราอยากทำเล่น การดูซีรีส์ การอ่านหนังสือ หรือเล่นเกม เป็นต้น จึงต้องมาทำในตอนกลางคืนแทน ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกอาการนี้ว่า Revenge Bedtime Procrastination เรียกสั้น ๆ ว่า Bedtime Procrastination เป็นการผัดเวลานอนเพื่อล้างแค้น เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน เพื่อจะได้ให้เวลากับตัวเอง โดยอาการนี้ไม่ใช่เป็นโรคที่เกิดจากการนอนไม่หลับ แต่เป็นการเลือกที่จะไม่นอนเองต่างหาก เพราะยังอยากจะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำเต็มไปหมด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้กับคนที่ไม่อาจจะควบคุมเวลาในการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเวลากลางวันได้ เช่น ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่คาดเดาได้ยาก มีงานแทรก งานด่วน ทำให้เลิกงานไม่เป็นเวลา บางวันอาจจะฝนตกทำให้รถติดนานหลายชั่วโมง ทำให้กลับถึงบ้านค่ำหรือดึกจนเกินไป จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนต้องใช้เวลาในตอนกลางคืนทำกิจกรรมที่อยากทำอย่างบ้าคลั่ง

มีอาการแบบนี้รึเปล่า Revenge Bedtime Procrastination เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน Read More »

3 สัญญาณของอาการป่วยเมื่อคุณมักจามติดต่อกัน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

3 สัญญาณของอาการป่วยเมื่อคุณมักจามติดต่อกัน

            ในยามที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือผลัดเปลี่ยนรอยต่อของฤดูที่ทำให้อุณหภูมิแปรปรวนไปคนละขั้วย่อมเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะมีอาการจามบ่อย ๆ เพราะร่างกายยังคงปรับตัวให้ทันตามสภาพอากาศไม่ได้ซึ่งผลตามก็คือ “ไข้หวัด” แต่เป็นไข้หวัดธรรมดาที่แค่ไม่กี่วันก็หาย แต่สิ่งที่ไม่ผิดปกติก็ยังคงมีอยู่ คือ หากคุณมีอาการจามติดต่อกันหลายครั้งใน 1 วันและเป็นเช่นนี้ยาวไปเกิน 2 – 3 วันก็อาจเป็นสัญญาณไม่ดีของอาการป่วยหนักที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาได้ ด้วยการที่ร่างกายมีการต่อต้านสิ่งผิดปกติมากเกินไป นั่นหมายถึงร่างกายคุณกำลังถูกคุกคามด้วยสิ่งผิดปกติมากมายจากภายนอกที่เริ่มทำให้ร่างกายอ่อนแอลง จะมีอาการป่วยใดบ้างที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการจามติดต่อกันเป็นเวลานาน ภูมิแพ้             โรคภูมิแพ้จะกำเริบจากการที่ร่างกายของคนเราถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าด้วยสิ่งผิดปกติที่หลากหลายทำให้ร่างกายซึ่งรับรู้ได้ว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้านออกมาผ่านทางระบบหายใจโดยการสั่งให้จามออกมา เช่น จามเพราะเกสรดอกไม้ ,ฝุ่นละออง ,ขนสัตว์ เป็นต้น และแสดงความผิดปกติทางผิวหนังจนเกิดผื่นแดงจากการรับประทานอาหารที่ร่างกายต่อต้าน ,สัมผัสกับสิ่งเร้าอย่างใบไม้หรือดอกไม้บางประเภท ยิ่งการจามออกมาติดต่อกันนาน ภูมิแพ้ก็จะกำเริบทำให้คุณหายใจออกมาลำบาก มีน้ำมูก และเกิดไข้ร่วมด้วย คออักเสบ             เมื่อคุณจามติดต่อกันบ่อย ๆ ก็อาจทำให้มีการเข้ามาบางส่วนของละอองสิ่งผิดปกติซึ่งกระตุ้นภายในโพรงจมูกและลงไปสู่คอที่เป็นจุดเชื่อมต่อกันของร่างกาย ทำให้เกิดคออักเสบขึ้นมา โดยโรคคออักเสบนั้นเกิดจากการที่มีสิ่งมากระตุ้นทำให้คุณไอมากและหายใจทางปากจนไวรัสได้ลงคอของคุณ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดอาการเจ็บคอจนรับประทานอาหารลำบากแล้ว ยังทำให้เกิดอาการเป็นไข้ ปวดศีรษะตามมาร่วมด้วย ต้องรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดอย่างพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟน และรับประทานยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย ไข้หวัดใหญ่             การที่คุณจามติดต่อกันบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ โดยไข้หวัดใหญ่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่พบมากที่สุด คือ ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ (H1N1)

3 สัญญาณของอาการป่วยเมื่อคุณมักจามติดต่อกัน Read More »

วิธีการป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

วิธีการป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

อาการท้องอืดท้องเฟ้อถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาการที่สร้างความทรมานให้กับผู้ที่เป็นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับวันนี้เราได้นำเอาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาเหตุของอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่ทำให้เราเกิดความไม่สบายตัวมาแนะนำกัน ว่าแต่เมื่ออาการท้องอืดท้องเฟ้อขึ้นแล้วจะมีวิธีช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นวันนี้เราก็ได้นำเอาข้อมูลที่น่าสนใจเหล่านี้มาแนะนำกัน ลองไปดูรายละเอียดกันเลย สาเหตุส่วนใหญ่ที่แต่ละคนมักเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ การเคี้ยวร้านอาหารที่ไม่ละเอียด มันจะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานหนัก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนนั้นเกิดอาการท้องอืดได้นั่นเอง การรับประทานอาหารที่เร็วเกินไป ซึ่งแน่นอนเลยว่าระบบย่อยอย่างเช่นฟันที่เป็นด่านแรกของการย่อยอาหาร อาจทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก จึงส่งผลให้อวัยวะส่วนอื่นในการย่อยเกิดมีปัญหาได้เช่นกัน การเคี้ยวอาหารไปด้วยได้ทำกิจกรรมอื่นไปด้วย อาจทำให้ระบบการย่อยการเคี้ยวอาหารในมื้อนั้น ไม่สมบูรณ์แบบมากนัก จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ การดื่มน้ำอัดลม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่คนส่วนใหญ่มักเกิดอาการนี้ ท่อน้ำอัดลมเต็มไปด้วยแก๊ส จึงทำให้ส่งผลเสียโดยตรงกับกระเพาะอาหาร เครื่องดื่มนี้อาจจะรวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย  เลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอาหารที่ย่อยยากและปริมาณ อย่างเช่น เนื้อสัตว์ อาหารทอด  อาหารที่มีแป้งย่อยยาก และผลไม้ที่มีเปลือกแข็ง  วิธีดูแลและรักษาและบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ควรเปลี่ยนวิธีเคี้ยวอาหาร โดยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นและยาวนานมากยิ่งขึ้น  วันหยุดดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือหากมีความจำเป็นจริงๆก็สามารถดื่มได้ แต่ไม่ควรดื่มในปริมาณที่มากเกินไปและบ่อยเกินไป  ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจำพวกน้ำตาลฟรุกโตส เพราะถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด  ไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดการย่อยยาก อย่างเช่นอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารจำพวกทอด  ควรช่วยในการย่อยอาหารหลังมื้ออาหารโดยการขยับร่างกายเบาๆ ซึ่งจะถือเป็นการช่วยให้ลำไส้ของเรานั้นสามารถเคลื่อนไหวเพื่อย่อยอาหารได้เป็นอย่าง  สามารถเลือกรับประทานสมุนไพรที่ช่วยในการย่อยและขับลม เช่น  ขิง สะระแหน่ กระเทียม โหระพา  ยี่หร่า ผักชีฝรั่ง และออริกาโน เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อว่าหลายคนก็คงจะได้รับความรู้กันไปอย่างแน่นอน ใครที่มักจะเจอกับอาการท้องอืดท้องเฟ้ออยู่เป็นประจำก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารและรายละเอียดอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะช่วยบรรเทาและช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง สำหรับครั้งหน้าเราจะนำเอาข้อมูลอะไรที่น่าสนใจมาแนะนำกันอีกนั้นอย่าลืมติดตาม วิดีโอเพิ่มเติม

วิธีการป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ Read More »

อันตรายจากโรคเหงือกอักเสบ ที่ไม่ควรมองข้าม วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

อันตรายจากโรคเหงือกอักเสบ ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคในช่องปาก ถือเป็นอีกโรคหนึ่งที่หลายๆคนมองข้าม อาจเป็นเพราะแผลที่มองไม่เห็น หรืออาการเจ็บที่มักจะหายไปเองจึงทำให้เราละเลยที่จะดูแลเอาใจใส่ช่องปากให้ดีเท่าที่ควร แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาโรคในช่องปากก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเราไม่น้อยเลยทีเดียว ปัจจุบันโรคเหงือกอักเสบ พบได้บ่อยในผู้ที่ละเลยช่องปาก ส่งผลให้สุขภาพฟันของเราทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ และหากเหงือกอักเสบติดเชื้อรุนแรง อาจร้ายแรงจนถึงขั้นที่เราจะเสียฟันซี่นั้นไปได้ในที่สุด สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ เหงือกอักเสบนั้นเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ส่วนใหญ่มาจากคราบพลัคที่อยู่บริเวณรอบๆคอฟันหรือตัวฟันของเรา ก่อตัวหนาขึ้นเป็นแผ่นฟิล์ม โดยคราบพลัคนี้จะเกิดขึ้นได้หากแปรงฟันไม่สะอาด หรือไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย ทำให้ซอกฟันนั้นไม่สะอาดเท่าที่ควร ก่อตัวเป็นคราบพลัคขึ้นและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เหงือกบริเวณนั้นเกิดการอักเสบขึ้นมานั่นเอง อาการของโรคเหงือกอักเสบ โรคเหงือกอักเสบ สามารถแบ่งออกได้ 3 ระยะ โดยแบ่งเป็น ระยะเริ่มต้น ระยะเยื่อหุ้มฟันอักเสบ และระยะเยื่อหุ้มฟันอักเสบตอนปลาย ระยะเหงือกอักเสบ ระยะนี้เป็นระยะเริ่มต้นที่จะทำให้เหงือกอักเสบ เกิดจากคราบพลัคที่ก่อตัวบริเวณรอบๆฟัน เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียมากยิ่งขึ้น จนส่งผลกระทบให้เหงือกอักเสบ ระยะนี้สามารถที่จะแก้ไขและป้องกันได้ เพียงแปรงฟันให้สะอาดในทุกวัน พร้อมกับใช้ไหมขัดฟันในบริเวณที่แปรงนั้นซอกซอนไปไม่ถึง จะช่วยลดคราบพลัคที่เป็นสาเหตุเหล่านี้ได้ ระยะเยื่อหุ้มฟันอักเสบ ระยะนี้เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น กระดูกและเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆรากฟันนั้นถูกทำลายลง จนทำให้เกิดปัญหาเหงือกร่น เมื่อเหงือกร่นแล้วจะทำให้มีพื้นที่รอบๆรากฟันเป็นโพรงและการดูและจะยากมากขึ้น เป็นแหล่งให้เกิดคราบพลัคได้ง่ายมากขึ้นตามไปด้วย ระยะนี้ต้องเข้ารับการรักษาจากทันตแพทย์ เพื่อการดูแลช่องปากให้ถูกวิธีและป้องกันไม่ให้เกิดเหงือกร่นมากขึ้นกว่าเดิม ระยะสุดท้ายของการเป็นโรคเหงือกอักเสบเรียก ระยะเยื่อหุ้มฟันอักเสบตอนปลาย ระยะนี้เนื้อเยื่อที่ช่วยพยุงฟันถูกทำลายไปหมดแล้ว ทำให้ฟันซี่นั้นเกิดการโยกและบดเคี้ยวอาหารไม่ได้ หากรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องถอนฟันซี่นั้นออกไปในที่สุด โรคเหงือกอักเสบ ถือเป็นอีกหนึ่งโรคใกล้ตัว ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากพอสมควรเลยทีเดียว หากการบดเคี้ยวทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ

อันตรายจากโรคเหงือกอักเสบ ที่ไม่ควรมองข้าม Read More »

สารเคมีพืช วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

สารเคมีพืช

         ในอดีต นักโภชนาการแนะนำให้บริโภคผักผลไม้เพื่อเสริมวิตามินเกลือแร่  ต่อมาเมื่อรู้จักใยอาหารว่ามีประโยชน์   ผู้บริโภคผักผลไม้จะเสี่ยงต่อมะเร็งน้อยลง นักโภชนาการยุคสิบกว่าปีที่แล้ว จึงเหมาเอาว่าเป็นเพราะใยอาหารนั่นเอง แต่ปัจจุบันจึงได้ทราบว่าไม่ใช่เพราะใยอาหารเท่านั้นที่ทำให้มะเร็งลดลง แต่เป็นเพราะในผักมีสารเคมีพืชหรือไฟโตเคมิคอลส์หลายชนิดที่มีสมบัติต้านทานฤทธิ์ของสารก่อมะเร็งได้ สารเคมีพืชเป็นสารเคมีที่มีขนาดโมเลกุลไม่ใหญ่มากนัก แทบทั้งหมดจัดเป็นสารอินทรีย์   และมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้พืชเป็นอาหารรวมทั้งมนุษย์ แต่เนื่องจากไม่สามารถจัดเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน หรือเกลือแร่  จึงได้จัดสารเหล่านี้ให้เป็นสารอาหารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า สารเคมีพืช นั่นเอง กลไกการทำงานของสารเคมีพืช          สารเคมีพืชเป็นสารที่ทำให้พืชผักชนิดนั้นๆ มีสี กลิ่น หรือรสชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว สารเคมีเหล่านี้มีอยู่หลายชนิดที่มีฤทธิ์ต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิดได้ ซึ่งโรคสำคัญที่สารกลุ่มนี้ช่วยป้องกันก็คือ โรคมะเร็ง  การทำงานของสารเคมีพืชนี้อธิบายได้โดยที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว สารกลุ่มนี้บางชนิดจะช่วยให้กลไกบางกลไกในร่างกาย อย่างเช่น เอนไซม์บางกลุ่มทำงานได้ดีขึ้น เอนไซม์ทำหน้าที่ทำลายสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย  ทำให้สารก่อมะเร็งหมดฤทธิ์  ส่งผลให้ผู้คนเริ่มสนใจบทบาทใหม่ของพืชผักในเชิงสมุนไพรหรือฤทธิ์ทางยามากขึ้น    สารเคมีพืชที่พบในผักผลไม้          สารเคมีพืชในผักบร็อคโคลี ที่ชื่อว่า ซัลโฟราเฟน สามารถป้องกันมะเร็ง  สารที่ช่วยป้องกันมะเร็งที่พบในพืชนอกจากซัลโฟราเฟนแล้ว ก็ยังมีสารฟลาโวนอยด์อีกนับเป็นพันชนิด  พบในพืชหลายชนิด อย่างเช่น  มะกรูด  มะนาว  และผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยว  บางชนิดอาจออกฤทธิ์ทำให้ฮอร์โมนที่สร้างมะเร็งลดการทำงานลง เป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งได้อีกทางหนึ่ง ถั่วเหลืองมีสารเคมีพืชชื่อ เจนิสทีน ช่วยป้องกันมะเร็งได้โดยพบว่า อาจช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดฝอยที่จะเข้าไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง     

สารเคมีพืช Read More »

ใช้อาหารโปรตีนสูงเพื่อรักษาน้ำหนัก วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ใช้อาหารโปรตีนสูงเพื่อรักษาน้ำหนัก

จากข้อมูลสุขภาพประชากรโลกระหว่างปี1975 ถึง 2016 นั้น องค์การอนามัยโลกระบุว่า มีจำนวนผู้อยู่ในภาวะโรคอ้วนมากขึ้นถึง 3 เท่า นั่นหมายความว่า มีผู้ใหญ่ที่น้ำหนักเกินถึง 1.9 พันล้านคน และมากกว่า 650 ล้านคนของจำนวนดังกล่าว ตกอยู่ในภาวะโรคอ้วนและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด  รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิด  ซึ่งนําไปสู่ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับโลก ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับการทดแทนอาหารทั้งหมดจึงเป็นกลยุทธ์ที่นิยมมากขึ้นในการต่อสู้กับโรคอ้วนและควบคุมน้ำหนัก  โดยอาศัยอาหารสูตรโภชนาการครบถ้วนมาแทนที่อาหารทั้งหมดในช่วงเวลาที่กําหนด  อีกกลยุทธ์หนึ่งคือ อาหารโปรตีนสูงมาจัดการน้ำหนักซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน  เพราะสามารถส่งเสริมการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักได้ดี  และช่วยเติมเต็มความรู้สึกของผู้รับประทาน  พลังงานที่ใช้ไป รวมถึงสามารถควบคุมหรือเพิ่มมวลของร่างกายที่ปราศจากไขมันได้ด้วย     เมื่อเกิดการนำแนวคิดทั้งสองมารวมกัน  ระหว่างการทดแทนอาหารทั้งหมดกับอาหารที่มีโปรตีนสูงก็จะกลายเป็นแนวทางที่ดีต่อการจัดการน้ำหนัก   ในความเป็นจริงแล้ว ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหารด้วยโปรตีนสูงนั้นมีหลายชนิดที่จำหน่ายให้ผู้บริโภคอย่างกว้างขวางแล้ว แต่คําถามที่ตามมาคือ ใช้งานได้จริงหรือ? อาหารโปรตีนสูงรักษาน้ำหนักได้หรือ ในการศึกษาของนักวิจัยในมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ซึ่งมีแนวคิดในการศึกษาจากความชุกของการเกิดภาวะโรคอ้วนทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อสุขภาพที่ตามมา  จึงไม่น่าแปลกใจที่กลยุทธ์ทางโภชนาการเช่น การทดแทนอาหารทั้งหมดและอาหารโปรตีนสูงจะกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นในฐานะกลยุทธ์การจัดการน้ำหนัก  อย่างไรก็ตาม กลยุทธดังกล่าวแม้จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่กลับปราศจากงานวิจัยมารองรับ ด้วยเหตุนี้งานวิจัยดังกล่าวจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการรับสมัครกลุ่มผู้ใหญ่อายุระหว่าง 18-35 ปีที่มีสุขภาพดี และมีน้ำหนักปกติ  การรับสมัครดำเนินการผ่านโฆษณาที่ติดไว้บนกระดานแจ้งข่าวสารภายในมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา จากนั้นแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2  กลุ่ม โดยวิธีการสุ่ม  กลุ่มหนึ่งได้รับการทดแทนอาหารทั้งหมดด้วยอาหารโปรตีนสูงซึ่งประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 35% โปรตีน

ใช้อาหารโปรตีนสูงเพื่อรักษาน้ำหนัก Read More »

โรคธาลัสซีเมียหรือโรคโลหิตจาง โรคติดต่อทางพันธุกรรม วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

โรคธาลัสซีเมียหรือโรคโลหิตจาง โรคติดต่อทางพันธุกรรม

ปัจจุบันโรคติดต่อที่ผ่านทางสารพันธุกรรมนั้นมีมากมายหลากหลายโรค และหนึ่งในนั้นคือโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นโรคโลหิตจางแฝงที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางสารพันธุกรรมได้ ซึ่งโรค ธาลัสซีเมีย นั้นถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่แอบแฝงไปด้วยอันตรายมากมาย สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้นั้นอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้ในภายหลัง วันนี้เราจึงมีข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมียมาฝากกัน เพื่อการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน สาเหตุของการเกิด โรคธาลัสซีเมีย โรคธาลัสซีเมียหรือโรคโลหิตจางแฝง เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสารพันธุกรรมของยีนด้อย ที่ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติไป เม็ดเลือดแดงที่ถูกสร้างมานั้นมีปริมาณที่น้อยลงกว่าคนปกติทั่วไป อีกทั้งเม็ดเลือดแดงนั้นยังมีรูปร่างที่แตกต่างไปจากเม็ดเลือดแดงทั่วไป ทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นแตกได้ง่าย เมื่อจำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง นั่นเอง สภาวะโลหิตจางนั้นอันตรายและร้ายแรงกว่าที่คิด สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้มากมาย เช่น เกิดนิ่วในถุงน้ำดี มีภาวะธาตุเหล็กเกิน การทำงานของตับและหัวใจผิดปกติไป อีกทั้งยังสามารถป่วยเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไปอีกด้วย การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของ โรคธาลัสซีเมีย โรคธาลัสซีเมียนั้นสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงและต้องควรระมัดระวังมากที่สุดคือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะโรคนี้สามารถถ่ายทอดสู่ลูกน้อยได้โดยตรง ซึ่งหากใครที่กำลังมีวางแผนสร้างครอบครัว ควรได้รับการตรวจเลือด และหากพบว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคธาลัสซีเมียควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการป้องกันก่อนที่จะมีบุตรนั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโรคธาลัสซีเมียนั้นพบได้สูงถึงร้อยละ 30-40 % เลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดกับลูกน้อยจึงควรตรวจเลือดก่อนจะวางแผนมีบุตร ดังนั้นสำหรับใครที่มีแผนจะสร้างครอบครัว สามารถเข้ารับการตรวจเลือดได้ โดยขั้นตอนแรกจะเป็นการตรวจเพื่อคัดกรอง การตรวจเพื่อคัดกรองนี้สามารถทำได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอผลนาน เหมาะสำหรับคนงบน้อย ซึ่งการตรวจเพื่อคัดกรองนี้มีความไวสูงที่จะทำให้ทราบว่ามีภาวะเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ แต่ข้อเสียของการตรวจคัดกรองนี้จะไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นธาลัสซีเมียชนิดใด แต่หากทราบผลว่า Positive จะต้องตรวจเพื่อหาชนิดของฮีโมโกลบิน ว่าคุณนั้นเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดใด หรือในปัจจุบันนี้ก็สามารถตรวจจากดีเอ็นเอได้เลย รวดเร็ว แม่นยำ

โรคธาลัสซีเมียหรือโรคโลหิตจาง โรคติดต่อทางพันธุกรรม Read More »