นมถั่วเหลือง VS นมวัว หมัดต่อหมัด แบบไหนดีกว่ากัน

อัลไซเมอร์ถือเป็นโรคทางสมองที่เกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้สูงอาตุ แต่ปัญหาหรือระยะของการเริ่มต้นอัลไซเมอร์นี้อาจมีผลเสมอกับสุขภาพภายในหากอยากเรียนรู้เพิ่มเติมบทความนี้พร้อมนำเสนอ แบคทีเรียในช่องปากเกิดขึ้นได้จริงหรือ(?) ได้สิ…เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมหรือที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย โดยปกติก็จะพบเชื้อเหล่านี้มากมายทับถมกันเป็นเวลาอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ดีที่จะคอยป้อ งกันศัตรูฟันที่จะทำการก่อโรค แต่เมื่อมีแบคทีเรียที่ดีไปแล้ว แบคทีเรียชนิดร้ายก็ย่อมมีเช่นกันอย่างเด่น ๆ เลยคือ Streptococci ทำให้สุขภาพช่องปากเกิดเป็นปัญหาโรคฟัน และโรคเหงือกที่อาจพัฒนาไปเป็นปัญหาและโรคอื่น ๆ ได้ ทำไมต้องแปรงฟันให้สะอาด จริง ๆ การแปรงฟันที่สะอาดนั้นจำเป็นมากต่อการขจัดคราบไม่ว่าจะสีหรือเศษจากอาหาร ขนม น้ำอัดลม น้ำตาล และแป้ง ซึ่งอ่านดูก็จะรู้สึกได้ว่าของกินเหล่านี้เป็นตัวการแล้วกว่า 70% ถูกจัดให้เป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยายแล้วว่าเป็นสาเหตุ แต่ต้นเหตุก็ต้องมาจากพฤติกรรมการรับประทานและการรักษาความสะอาดด้วยในเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ฉะนั้นโอกาสของการแปรงฟันเท่านั้นที่จะทำให้หมดปัญหาของโรคในช่องปากได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับตายาสีฟันด้วยว่ามีรสชาติที่จัดไปหรือไม่จึงทำให้การแปรงฟันนั้นถูกลดเวลาลง ความเสี่ยงกับอัลไซเมอร์มีอยู่จริงหรือแค่ช่องปากไม่สะอาดพอ ด้วยทางด้านการแพทย์เชื่อว่าแบคทีเรียในช่องปากอย่าง Streptococci มีส่วนเชื่อมโยงต่อหลอดเลือด ซึ่งเรียกได้ว่าอาจโยงให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคได้ แปรงฟันอย่างไรถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง การแปรงฟันจริง ๆแล้วเป็นการทำกิจกรรมในช่วงหลังตื่นนอน ซึ่งตลอดชีวิตเราทำมาทุกวันอย่างเป็นประจำ ซึ่งหลาย ๆ คนก็มองว่าไม่มีผิดไม่มีถูกหรอกแค่ได้ทำความสะอาดก็ถือว่าได้มั่นใจด่อนออกจากบ้านแล้ว แต่มันจะยากก็ตรงที่ว่าเราต้องเริ่มต้นในการแปรงฟันเสียใหม่ และวิธีเดิม ๆ อาจไม่ถูกเสมอไป มีการเริ่มต้นจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย บนล่างแปรงอย่างไรมีวิธีดังนี้ การแปรงฟันบน แปรงฟันบนทั้งทางด้านแก้มและเพดานปากโดยใช้วิธีการขยับและปัด ให้ปลายโคนแปรงอยู่ในร่องเหงือกและออกแรงขยับไปมาในระยะเวลาสั้น ๆ 7-10 ครั้ง

                  กินปุ๊บถ่ายปั๊บ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารหรือจากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ถึงแม้ว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แต่ก็สร้างความน่ารำคาญ และส่งผลเสียเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้ยังอาจบั่นทอนคุณภาพชีวิตได้                   บางคนเมื่อรับประทานอาหาได้ไม่นาน จะเริ่มมีอาการอยากขับถ่ายในทันที หรือขับถ่ายง่ายเกินไป ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้จากการที่ระบบย่อยอาหารมีความไวต่อสารอาหารบางชนิด เช่น น้ำส้มสายชู รสชาติเผ็ด ของมัน กาแฟ หรือแม้แต่ผลไม้บางชนิด ซึ่งแต่ละคนมีอาการแตกต่างกันออกไป เมื่ออาหารลงสู่กระเพาะอาหาร เกิดการกระตุ้นให้กระแสประสาทวิ่งสู่ลำไส้ใหญ่จนเกิดการปวดท้องและอยากขับถ่ายในทันที ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคลำไส้แปรปรวนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ท้องอืด แน่นท้อง ท้องเฟ้อ มีแก๊สในกระเพาะ มีอาการปวดอย่างรุนแรงหลังรับประทานอาหาร และจะคลายลงหลังจากขับถ่าย และอาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรือเป็นทั้งสองอย่างสลับกัน ส่วนของอุจจาระอาจมีลักษณะแข็งหรือนิ่มกว่าปกติ ขับถ่ายไม่สุด อาจมีเมือกใสปนออกมาด้วย บางรายกลั้นการขับถ่ายไม่อยู่ นอกจากนี้ยังพบอาการอื่น ๆ เช่น หมดแรง ปวดหลัง ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ เป็นต้น โรคลำไส้แปรปรวนเกิดขึ้นได้อย่างไร                   โรคลำไส้แปรปรวนเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หรือแม้แต่จากปัจจัยภายนอก อย่างเช่น การติดเชื้อ ความผิดปกติของแบคทีเรีย

ในสังคมไทยพบพฤติกรรมการกินแบบติดหวานได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน กาแฟเย็น ชาเย็น หรือแม้แต่การปรุงรสด้วยความหวานในอาหาร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายสูงขึ้น เกิดการต้านอินซูลีน จุดเริ่มต้นของโรคมากมาย ดังนั้นควรหมั่นสังเกตอาการของร่างกายอยู่เสมอ ว่ามีสัญญาณเตือนว่าเป็นคนติดหวานแล้วหรือยัง                   เครื่องปรุงรสชาติพบได้ทั่วไปในอาหารและเครื่องดื่ม พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักจะเพิ่มน้ำตาลหรือความหวาน เพื่อให้อาหารมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำผลไม้ หลายคนชอบทานหวานมากไป หรือแม้แต่การปรุงอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งโปรดปราน เพราะทำให้รู้สึกดี ทานแล้วรู้สึกเจริญอาหาร แต่รู้หรือไม่ว่ายิ่งทานมากยิ่งส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย หากสะสมนานวันเข้าอาจจะเป็นโรคติดความหวานขึ้นได้ จนก่อให้เกิดเป็นโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา เช่น ภาวะเลือดเป็นกรดมากเกินไป เกิดการสะสมของไขมันทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ความดันในเลือดสูงขึ้น อาการง่วงนอนตลอดเวลา โรคกระดูกเปราะและฟันผุ เป็นต้น เมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้ แปลว่าคุณเริ่มจะติดหวาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารของตัวเองเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีไม่มีโรคร้ายมาทำลายได้ สัญญาณเตือน ว่ากินหวานมากไป                   1. สมองตื้อและเบลอ โดยเฉพาะหลังจากทานอาหาร เกิดจากระดับน้ำตาลในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่งผลให้ความจำไม่ค่อยดี หรืออาจจะร้ายแรงจนสมองเสื่อมลงได้                   2. หวานไม่เคยพอ อาหารแบบเดิมแต่รู้สึกว่าหวานน้อยกว่าเดิม นั่นแปลว่าร่างกายรับน้ำตาลปริมาณมากเกินไป ต่อมรับรสหวานดื้อต่อน้ำตาลในปริมาณเท่าเดิม

                  เมนูอาหารในแต่ละวันอาหารที่ทำจากปลามักได้รับความนิยมอยู่เสมอ นอกจากความอร่อยแล้วยังให้คุณประโยชน์จากสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู จึงไม่น่าแปลกใจที่เมนูปลาจะเป็นเมนูแรก ๆ ที่หลาย ๆ คนนึกถึง                   เนื้อปลาทะเลถูกพูดถึงน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว หมู หรือไก่ อาจจะเป็นเพราะว่าอาหารทะเลไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาดบางแห่ง แต่ในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มสนใจทานเนื้อปลากันเพิ่มมากขึ้นอาจจะเพราะการขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว ปลาที่ถูกส่งจำหน่ายมีความสดใหม่ รสชาติอร่อย และที่สำคัญยังมีคุณค่าทางด้านโภชนาการอีกด้วย ทั้งในเรื่องของไขมันชนิดไม่อิ่มตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์สมอง ลดการเกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3 วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิดที่มีผลต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาทและหัวใจ มาดูกันว่าปลาเนื้ออร่อยมีวิตามินเยอะมีอะไรบ้าง ปลาทะเลเนื้ออร่อย วิตามินสูง                   1. ปลาแซลมอน ส่วนประกอบของปลาทะเลชนิดนี้มีวิตามินที่สำคัญกว่า 60 เปอร์เซ็นต์คือโอเมก้า 3 กรดไขมัน EPA และ SHA ที่จะช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง มีประโยชน์ต่อหลอดเลือดและหัวใจ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ

ถ้าอยากรู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณมีพุงที่ห้อยย้อยหรืออ้วนขึ้นลองมาทำแบบสอบถามกันดีกว่าเพื่อวิเคราะห์หาต้นเหตุด้วยตัวเอง [Questions at 1]  คุณมีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวเพราะระบบเผาผลาญไม่ดีพอหรือเปล่า(?) _ กินก็น้อยนะในแต่ละวัน…บางครั้งแทบไม่ได้กินอะไรเลย….น้ำหนักก็ไม่ลดสักที _กินก็เท่าเดิมนะ…แต่ทำไมช่วงนี้รู้สึกน้ำหนักขึ้นง่ายจังเลย _ปกติไม่กินอาหารเช้า…กินมื้อแรกก็เกือบบ่ายแล้ว _กินอาหารเย็นช้ามาก…กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบ 22:00 _เป็นคนนอนดึก…กว่าจะนอนก็เกือบเที่ยงคืน…บางคืนแทบไม่ได้นอน _เคยผ่านการกินยาลดน้ำหนักมาแล้ว….ตอนกินยาน้ำหนักลดลงได้เป็น 7-8 กิโลกรัม…ตอนนี้น้ำหนักที่ลดลงกลับมาเหมือนเดิมแล้ว _แต่ก่อนออกกำลังกายได้ทุกวัน…แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลย _ถ้าให้เลือกวิธีลดน้ำหนักระหว่างควบคุมอาหารกับออกกำลังกายเลือกอย่างแรกดีกว่า _ไม่ถ่ายมานานจัด…บางครั้งถ่าย1ครั้ง/ปี _แต่ก่อนแค่งดอาหารเย็นน้ำหนักก็ลดแล้ว…แต่ทำไมตอนเย็นอดอย่างไรก็ไม่ลด หากว่าคำตอบคือ [ใช้] ไม่เกิน 5 ข้อแสดงว่าระบบการเผาผลาญอาหารของคุณเริ่มจะมีปัญหาแล้ว [Questions at 2] _เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์…ต้องกินยาทุกวัน _เป็นภูมิแพ้…ต้องกินยาทุกวัน…คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกาย _เป็นประจำเดือนมาไม่ปกติ 3 เดือนมาครั้ง หรือปีละ1ครั้ง ต้องทานยาคุมและต้องทานอย่างน้อย 6-10 เดือน ถ้าหากว่าคำตอบคือใช่แค่ข้อใดข้อหนึ่งบอกได้เลยว่าคุณมีน้ำหนักมากขึ้นหรือไม่ลดลงสักทีและอาจเกิดจากปัญหาฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล [Questions at 3] มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวเพราะได้รับพลังงานมากเกินไปหรือกินมากกว่าได้ใช้ไปใช่หรือไม่ ลองมาดูคำตอบกัน โปรดเรื่องอาหารที่คุณเลือกทาน กลุ่มเมนูที่1 ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ มันฝรั่งทอด ลาซานญ่า พิซซ่า KFC ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ข้าวผัด แฮมเบอร์เกอร์ ผักโขมอบชีส

ในช่วง 2483 Dr. William HerbetSheldon นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ศึกษาลักษณะรูปร่างของมนุษย์จากภาพถ่ายชาย – หญิงจำนวน 46,000ภาพ แล้วสรุปลักษณะรูปร่างของมนุษย์ออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆด้วยกันคือ ผ่ายผอม  สมบูรณ์ และอ้วนกลม แล้วคุณจะมีลักษณะอย่างไรไปอ่านกัน ผ่ายผอม มีลักษณะ โครงกระดูกเล็ก(ร่างเล็ก) ผอม เพรียว คอ แขน ขา (ยาว )แต่ลำตัวจะดูไม่ยาว เมื่อเทียบกับความยาวของขา ช่วงไหล่แคบ หน้าอกแบน สะโพกเล็ก มีไขมันในร่างกายน้อย กล้ามเนื้อมีลักษณะบาง ยาว และมีน้อยด้วย การเผาผลาญ (Metabolism) ในร่างกายจะเกิดขึ้นเร็ว หมายเหตุ คนกลุ่มนี้ถึงแม้จะเล่นกล้ามเพาะกาย ก็ไม่สามารถเกิดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ ให้เห็นได้อาจดูกระชับ ดูแข็งแรงเท่านั้นแต่ถ้าปล่อยตัวกินมากแล้วไม่ออกกำลังกายจะไปออกที่พุงกลม ๆ ให้เห็น แต่ แvน บา หน้าตายังดูไม่อ้วน ดูแล้วจะคล้าย ๆ ปลาหางนกยูงท้องแก่ที่ท้องป่องอยู่แค่ตรงกลางเท่านั้น สมบูรณ์ ลักษณะ

                  โรคยอดฮิตของคนในยุคปัจจุบัน โรคร่าเริง ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหู ชื่ออาจจะน่ารักแต่ความจริงแล้วแฝงด้วยภัยร้ายต่อร่างกายมากมาย เกิดจากพฤติกรรมของคนทั่วไปที่ชอบลันล้ากลางคืน ไม่ตื่นตอนกลางวัน                   โรคร่าเริง ไม่ได้เป็นชื่อทางการทางการแพทย์ เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมของคน เกิดจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนของต่อมไร้ท่อ และการไม่หลับในเวลากลางคืน จนทำให้สะสมจนคล้ายกับว่ามีการใช้งานร่างกายอย่างหนัก เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ชอบอ่านหนังสือเตรียมสอบ หรือคนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำต่อเนื่องยาวนาน กินเวลาหลายวัน ทำให้ นาฬิกาชีวิตรวมถึงระบบการทำงานของร่างการมีความแปรปรวน อาการที่พบได้ของคนที่เป็นโรคนี้คือ จะรู้สึกอ่อนเพลียในเวลากลางวัน มีอาการหงุดหงิดได้ง่าย ไม่มีสมาธิในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระหว่างวัน คิดอะไรไค่อยออก แต่พอถึงเวลากลางคืน สมองจะเริ่มทำงาน คิดอะไรได้รวดเร็ว รู้สึกมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า ทำให้นอนดึก ส่งผลให้นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น เป็นคนที่กลางวันไม่ตื่น กลางคืนไม่ยอมนอน อันตรายของโรคร่าเริง                   เมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอติดต่อกันยาวนานหลายวัน หรือเป็นประจำทุกวันจนเกิดความเคยชิน เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ และมีการสะสมมากขึ้นทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ภายในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น 1. การผลิตฮอร์โมนผิดปกติ โฉยเฉพาะโกรทฮอร์โมน มีหน้าที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ซ่งจะผลิตมากในช่วงเวลา 22.00-02.00

            หลายคนอาจเคยถามว่าเหตุใดในวิชาพลศึกษาจึงต้องมีการเรียนเต้นรำหรือเต้นลีลาศด้วย ทั้งที่ควรจะอยู่ในกลุ่มสาระดนตรีหรือนาฏศิลป์ซะมากกว่า เพราะการเต้นรำต้องจดจำท่าทาง จังหวะ และทำให้อารมณ์ของตัวเองสุนทรีย์ไปการเสียงเพลงด้วย แต่แท้จริงแล้วการเต้นรำนั้นเหมาะกับการถูกจัดให้เป็นหนึ่งในกีฬานั่นล่ะถูกแล้ว เพราะการเต้นรำเป็นการฝึกเคลื่อนไหวและใช้สมรรถภาพของร่างกายหลายส่วนในขณะเดียวกัน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยนะ มาถึงตรงนี้สาว ๆ หลายคนคงเริ่มแปลกใจกันแล้วใช่ไหมล่ะ เช่นนั้นวันนี้เราจะมาอธิบายเหตุผลให้เข้าใจกันว่าเหตุใดการเต้นรำจึงเป็นหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่เราคาดกันไม่ถึงได้ การเต้นรำมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาไม่หยุด             ในเวลาที่คุณเต้นรำไปตามจังหวะเพลงที่เปิดย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาในสเต็ปและการใช้แขนขาที่บางจังหวะก็จะไม่เหมือนเดิม ยิ่งเป็นเพลงจังหวะเร็วและครึกครื้น การเคลื่อนไหวในการเต้นรำของคุณก็ยิ่งต้องเร็วตามให้ทันเพลงทำให้ไม่มีการหยุดพักและเมื่อเต้นรำไปนาน ๆ ก็จะรู้สึกเหงื่อออกเพราะได้ออกแรงเคลื่อนไหวช้าราวกับเดินไม่หยุด และเคลื่อนไหวเร็วติดต่อกันราวกับได้วิ่งทำให้ร่างกายคุณเกิดการเผาผลาญไขมันได้ในการเต้นรำซึ่งจะช่วยลดน้ำหนักนั่นเอง การเต้นรำช่วยลดต้นขาได้ดี             เคยสังเกตหรือไม่ว่าหากคุณไปเต้นรำบ่อย ๆ จะรู้สึกว่าต้นขาของตัวเองลดลงไปอย่างไม่รู้ตัว ที่เป็นเช่นนี้ก็อันเนื่องมาจากการเต้นรำที่ต้องใช้กล้ามเนื้อขาในการเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่าง ๆ รวมถึงออกสเต็ปช้า – เร็ว และกะจังหวะถอยหลังกับเดินหน้าตลอดเวลาซึ่งเรียกได้ว่าทักษะการใช้งานขาและเท้าเป็นหัวใจหลักของการเต้นรำเลย ซึ่งการที่ใช้แรงออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาในการเต้นรำนี้เองทำให้น้ำหนักของคุณลดลงพร้อมกับต้นขาด้วย การเต้นรำสามารถฝึกการหายใจของเราได้ดี             เมื่อคุณเต้นรำไปหลายเพลงมากเข้าจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยและหอบ ยิ่งหากเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแล้วมาเต้นรำเพียงแค่ 2 เพลงก็สามารถหอบได้ง่าย ๆ แล้วประหนึ่งวิ่งรอบสนามไป 1 – 2 รอบ เพราะเหมือนว่าเราได้ออกกำลังกายโดยการเคลื่อนไหวไม่มีหยุด ซึ่งในการเต้นรำหากจะให้ตัวเองไม่เหนื่อยมากก็ต้องฝึกการหายใจโดยใช้จมูกเป็นสำคัญ หายใจเข้าให้ยาว ๆ และปล่อยมันออกมา ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วคุณจะสามารถเต้นรำได้อย่างสบาย แถมการหายใจยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องลดลง มีสุขภาพที่ดีขึ้น