รู้ก่อนป้องกันได้ 6 โรคที่มาพร้อมกับหน้าฝน

รู้ก่อนป้องกันได้ 6 โรคที่มาพร้อมกับหน้าฝน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ย่อมเข้ามาพร้อมกับสภาพอากาศและความชื้นที่เปลี่ยนไป อาจมีเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งเราควรรู้เอาไว้ เพื่อใช้ระมัดระวังและดูแลสุขภาพของตัวเองให้ห่างจากโรคที่มาพร้อมกับหน้าฝนเหล่านี้ มีโรคอะไรบ้างมาดูไปพร้อม ๆ กัน

โรคในหน้าฝน รู้ก่อนป้องกันได้

                  โรคที่เกิดจากไวรัส ทำให้เป็นหวัดและคัดจมูก หรืออาจจะมีอาการไข้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของเด็กทารก ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้มีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย บางรายอาจมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบรวมถึงโรคไข้หวัดใหญ่ด้วย

                  โรคคอติดเชื้อ สังเกตจากเริ่มมีอาการเจ็บคอ จากนั้นจะมีไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว บางรายอาจมีน้ำหมูร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากการเผลอกลืนเอาน้ำฝนที่มีการปนเปื้อนเข้าไปในคอจนทำให้คอเกิดการอักเสบ

                  ท้องเสีย หรือโรคอาหารเป็นพิษ เชื้ออีโคไลจากน้ำฝนที่ปนเปื้อนเข้ามาในอาหาร จากการซื้อในตลาดสดทั่วไป ซึ่งเชื้อนี้จะส่งผลทำให้ลำไส้เกิดการอักเสบและติดเชื้อจนทำให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารของเรา

                   โรคผิวหนังอักเสบ การที่ฝนตกบ่อย ๆ จนเกิดน้ำขังในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นเวลานาน จนกลายเป็นน้ำเน่า เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี หากเราไปเหยียบหรือมีการกระเด็นโดนผิวหนังก็มีโอกาสเสี่ยงให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบได้ อีกทั้งน้ำสกปรกอาจส่งผลให้เกิดแผลติดเชื้อ เรื้อรา มีอาการคัน ตุ่มหนองและฝีขึ้นได้ ดังนั้น ควรล้างมือล้างเท้าบ่อย ๆ เมื่อกลับเข้ามาถึงบ้าน

                  โรคฉี่หนู เป็นโรคที่มาพร้อมกับหน้าฝน สามารถแพร่ระบาดได้ในที่ที่มีน้ำขังอยู่ เช่น ในทุ่งนา หากในเสืองพบได้ในน้ำที่ขังอยู่บริเวณถนนที่มีการปนเปื้อนของน้ำภายในท่อระบายน้ำก็มีโอกาสที่จะมีเชื้อดังกล่าวได้ เป็นต้น หรืออาจจะพบได้ในบ้านที่มีมูลหนูปะปนในน้ำเมื่อเผลอไปเหยียบจนเชื้อโรคกระจายเข้าสู่ผิวหนังก็อาจเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน ซึ่งอาการของโรคจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณน่อง และมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย

                  โรคไข้เลือดออก ในฤดูฝนจะมียุงลายอยู่เป็นจำนวนมาก และพวกมันคือพาหะนำโรค หากใครมีไข้สูง ไม่ยอมลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เชื่องซึม สันนิษฐานก่อนเลยว่าเป็นโรคนี้ให้รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจรักษาโดยเร็วที่สุด

การป้องกันตัวเองจากโรคในหน้าฝน

              ควรเลี่ยงการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่น ในขณะไอ จาม ควรใช้ผ้าปิดปากและจมูกทุกครั้ง แต่ทางทีดีควรสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา งดการเดินทางไปยังชุมชน ควรล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ ซึ่งต้องระมัดระวังไม่ให้มีแพร่เชื้อไปยังผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เนื่องจากเมื่อรับเชื้อและมีอาการป่วย โดยเฉพาะโรคปอดบวมอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ในส่วนอาหาร ควรเลือกรับประทานที่ปรุงสุกใหม่ สดและสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสะอาด และสบู่ ผักและผลไม้ควรล้างทุกครั้งก่อนนำมาทาน ซึ่งหากเป็นโรคที่มาพร้อมกับหน้าฝน ต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด เพื่อสุขภาพของตัวเราและคนในครอบครัว

              โรคที่มาพร้อมกับหน้าฝน หากเรารู้ก่อนและควรหาวิธีป้องกัน เช่น การหลีกเลี่ยงจากความเปียกชื้น หลังจากอาบน้ำสระผมเรียบร้อยแล้วควรเช็ดตัวให้แห้งเสมอ และรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ครบห้าหมู่ที่เหมาะกับฤดูนี้ ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ร่างกายของเราก็สมบูรณ์แข็งแรง ปลอดโรคปลอดภัยแล้ว

เครดิตภาพ : mthai.com / nicetofit.com / th.rti.org.tw

YouTube :

8โรคที่มากับหน้าฝน รู้ไว้ให้ระวังในฤดูที่เฉอะแฉะ

7 โรคที่มากับหน้าฝน โรคหน้าฝน รู้ไว้จะได้ป้องกัน ระวังไว้เป็นดี

#โรคในหน้าฝน #ป้องกันโรคหน้าฝน #ดูแลร่างกายในฤดูฝน

เช็คอาการตกขาว เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

เช็คอาการตกขาว เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้

อาการตกขาว (Leukorrhea หรือ Vaginal Discharge) เกิดขึ้นในผู้หญิงจากการที่มีเมือกเหลวไหลออกมาจากบริเวณช่องคลอดโดยไม่ใช่การเกิดประจำเดือน โดยเมือกนี้จะถูกขับออกมาจากปาดมดลูกผ่านมายังช่องคลอด เพื่อให้เกิดความชุ่มชื่นในบริเวณนั้น ในการป้องกันการติดเชื้อนั่นเอง ตามปกติแล้วตกขาวจะมีสีขาวหรือใส และไม่มีกลิ่น หากเป็นการตกขาวที่มีสีออกเทา เขียว เหลือง หรือชมพูจากการมีเลือดปน และมีกลิ่นเหม็น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ภายใน สาเหตุของการตกขาว                   เมือกชนิดหนึ่งจะถูกขับออกมาจากปากมดลูกไหลลงมายังบริเวณช่องคลอด เพื่อสร้างการหล่อลื่น ชุ่มชื้น และป้องกันคการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบริเวณนั้น แต่การที่เกิดอาการตกขาวผิดปกตินั้น อาจจะเกิดมากจากการติดเชื้อหรือมีอาการป่วยต่าง ๆ เช่น โรคหนองในแท้หรือโรคหนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราในช่องคลอด โรคติดเชื้อไวรัส หรือแม้แต่การติดเชื้อทริโคโมนาส ซึ่งเป็นปรสิตที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น                   หากเป็นการตกขาวแบบผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการที่มีสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ เข้าไปในบริเวณช่องคลอดหรือปากมดลูก การแพ้สารเคมีบางชนิด เช่น ในผ้าอนามัย ถุงยางอนามัย การล้างช่องคลอด การเกิดติ่งเนื้อบริเวณปากมดลูก เป็นต้น จะมีลักษณะและอาการอื่น ๆ นั้นทำให้เราทราบถึงสาเหตุเบื้องต้นได้ เช่น มีสีขาวหรือขุ่น เทา และมีกลิ่นเหมือนคาวปลา […]

เช็คอาการตกขาว เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ Read More »

8 ข้อเท็จจริงของโรคมะเร็งผิวหนัง ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

8 ข้อเท็จจริงของโรคมะเร็งผิวหนัง ที่ไม่ค่อยมีใครรู้

ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มมาขึ้นเรื่อย ๆ เกิดขึ้นได้กับผู้คนในวัยหนุ่มสาวอีกด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนอาจยังไม่รู้คือ โรคนี้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับเราได้ โดยศึกษาว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรในการป้องกันตัวเองเมื่อต้องไปสัมผัสแสง UV มาไขข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อจะได้เป็นแรงพลักดันให้ทาครีมกันแดดกันมากขึ้น 8 ข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง                   1. มะเร็งบริเวณผิวหนังไม่มาจากเซลล์สร้างเม็ดสี แต่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ มาจากการสัมผัสกับแสง UV หากไม่ได้รับการป้องกัน ก็จะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก                   2. ในทุก 1 ชั่วโมงทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจำนวน 1 คน จากการเป็นมะเร็งของเซลล์เม็ดเลือดสี หรือที่เรียกว่ามะเร็งไฝ ยังมีความเข้าที่คลาดเคลื่อนว่ามะเร็งชนิดนี้ไม่เป็นอันตราย แต่พบว่าผู้เสียชีวิตประมาณ 8,000 คน และได้ประมาณการเอาไว้ว่าจะมีคนที่เสียชีวิตจากมะเร็งที่ไม่ได้มาจากเซลล์สร้างเม็ดเลือดสีอยู่ประมาณ 2,800 คน ต่อวัน ทั้งที่โรคนี้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้                   3. โรคมะเร็งผิวหนัง มีสัดส่วนเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของมะเร็งทุกชนิดบนโลก เนื่องจากผิวหนังของเรานั้นเกิดมะเร็งขึ้นได้ง่ายในทุกเพศทุกวัยในกลุ่มคนที่ต้องเจอกับรังสียูวีอยู่เป็นประจำ                   4. มีผู้เข้ารับการตรวจและกำลังอยู่ในขั้นตอนการวินิจฉัยกว่า 1 ล้านราย และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

8 ข้อเท็จจริงของโรคมะเร็งผิวหนัง ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ Read More »

ติดมือถือจนกลายเป็นอ่านหนังสือทิพย์ แก้ยังไงดี วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ติดมือถือจนกลายเป็นอ่านหนังสือทิพย์ แก้ยังไงดี

ในยุคปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สมาร์ทโฟนหรือมือถือนั้นได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในคนทั่วไป เพราะช่วยให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้น หาข้อมูล หรือติดต่อสื่อสารได้ง่ายดายขึ้น แต่การใช้จนเกินพอดีอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งการเรียนการทำงาน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้เช่นกัน ยิ่งหยิบมือถือมาเล่นตลอดเวลาหมกมุ่นกับการอ่านหนังสือทิพย์ แม้ว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จนรู้สึกว่าหากไม่ได้เล่นมือถือจะรู้สึกเครียด กระวนกระวายใจ คลื่นใส้ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ นั่นหมายความว่าคุณเข้าข่ายติดมือถือ เข้าแล้ว มาหาวิธีแก้ไปพร้อม ๆ กัน แก้อาการโมโนโฟเบีย ง่าย ๆ ไม่ให้กลายเป็นคนอ่านหนังสือทิพย์                   1. จำกัดระยะเวลาในการใช้มือถือ ขั้นแรกควรจดรายละเอียดและระยะเวลาที่ใช้โทรศัพท์มือถือในแต่ละกิจกรรม โดยอาจแบ่งออกเป็นเวลาคุย ตอบข้อความ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือฟังก์ชั่นอื่น ๆ แล้วคำนวณว่าในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เราใช้เวลาไปกับกิจกรรมเหล่านี้เป็นเวลาเท่าไหร่ จากนั้นลองค่อย ๆ ลดการใช้มือถือในแต่ละกิจกรรมลงเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไป                   2. หันมาพูดคุยกับคนรอบกายให้มากยิ่งขึ้น แม้ว่ามือถือจะเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ช่วยให้เราติดต่อกันได้ง่ายดาย แต่บางคนอาจติดมือถือ จนใช้เครื่องมือสื่อสารเป็นตัวกลางในการติดต่อแม้จะอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แม้ว่าการอยู่กับสังคมออนไลน์จะช่วยให้คลายเหงาได้บ้างเมื่อต้องอยู่ลำพังเพียงคนเดียว แต่การที่ยกมือถือขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ผู้คนรอบกายกำลังพูดคุยกันอยู่จึงถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเราควรงดใช้งานในหว่างนั่งคุยกับคนอื่น นอกจากจะลดการใช้งานลงแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีได้อีกด้วย                   3. คิดใหม่ปรับทัศนคติ เมื่อมีข้อความเข้าจากบุคคลอื่น

ติดมือถือจนกลายเป็นอ่านหนังสือทิพย์ แก้ยังไงดี Read More »

7 วิธีฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

7 วิธีฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร

Digestive System หรือระบบย่อยอาหาร มีหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงสภาพของอาหารให้กลายเป็นพลังงานให้กับร่างกาย รวมถึงการกำจัดของเสียออกไปด้วย แต่บางครั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ทำให้ระบบนี้ทำงานไม่เป็นปกติ เช่น ทำงานช้าลง รู้สึกแน่นท้อง เป็นต้น มาดูวิธีฟื้นฟูการย่อยอาหารให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ลองไปทำตามกัน 7 วิธีที่จะช่วยให้การย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น                   1. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด มีผลการวิจัยพบว่าวิธีนี้ยังช่วยคลายเครียดได้อีกด้วย ยิ่งเคี้ยวนาน ภายในปากก็จะผลิตน้ำลายออกมาเป็นจำนวนมาก เมื่อเรากลืนอาหาร น้ำลายจะมีส่วนช่วยให้เอนไซม์ที่มาย่อยอาหารทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รู้สึกอิ่มนาน ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว                   2. เคลื่อนไหวร่างกายหลังมื้ออาหาร แรงโน้มถ่วงของร่างกายจะช่วยในการย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น และการขับถ่ายก็จะเป็นไปตามธรรมชาติด้วย                   3. ดื่มชาขิง สมุนไพรไทยยอดนิยมที่รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีส่วนช่วยให้การย่อยดีขึ้น ลดความดันเลือด และลดเสี่ยงโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ควรทานมากกว่า 2 ถ้วยเพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ เช่น อุจจาระเหลว และมีฤทธิ์ทำให้ตื่นตัวไม่ควรดื่มก่อนนอน เป็นต้น                   4. ลดหวาน มัน เค็ม โดยเฉพาะอาหารแปรรูป เนื่องจากมีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว สารให้ความหวาน ซึ่งให้แคลอรีสูง เข้าไปฆ่าแบคทีเรียดีที่ช่วยในระบบย่อยอาหาร

7 วิธีฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร Read More »

เช็คอาการเสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจ มีอะไรบ้าง วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

เช็คอาการเสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจ มีอะไรบ้าง

จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เฉลี่ยแล้วมากกว่า 30,000 คนต่อปี หรือประมาณประมาณ 4 คนต่อชั่วโมง และไม่มีท่าทีว่าอัตราการชีวิตด้วยโรคนี้จะลดลง เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป หันมาทานอาหารจานด่วนมากขึ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีไขมันและคาร์โบไฮเดตสูง แต่ในขณะเดียวกันไม่ออกกำลังกาย และมีความเครียดมากขึ้น มาเช็คตัวเองกันดีกว่าว่ามีอาการเสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจหรือไม่ จะได้แก้ไขได้ทัน อาการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ                   1. มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน สูบบุหรี่ และพันธุกรรม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจได้ง่าย                   2. มีอาการแน่นหน้าอก ซึ่งจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนนั่งทับ เหยียบ บริเวณหน้าอก ปวดร้าวขึ้นกรามด้านซ้าย อาจร้าวไปถึงท้องแขนซ้าย หรือลงมาบริเวณท้อง โดยมีอาการร่วมกับเหงื่อแตกใจสั่นด้วย                   3. หน้ามืด เป็นลมหมดสติ หรืออาจจะวูบกะทันหันโดยไม่รู้สึกตัว                   4. ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วและรัว อย่างกะทันหัน                   5. เหนื่อยหอบ

เช็คอาการเสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจ มีอะไรบ้าง Read More »

ปวดตรงนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าควรประคบร้อนหรือเย็น วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ปวดตรงนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าควรประคบร้อนหรือเย็น

การประคบร้อนหรือเย็น เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ ของร่างกาย แต่หลายคนก็ไม่เคยรู้ว่าการประคบแบบไหนใช้ในสถานการณ์ใด หรือไม่มีมีความแตกต่างกัน ทำให้นำไปใช้อย่างผิดวิธี ส่งผลให้อาการเจ็บปวดเหล่านั้นไม่หาย บางครั้งอาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม มาดูกันว่าปวดแบบไหนควรประคบอย่างไร ข้อแตกต่างระหว่างประคบเย็น-ร้อน                   การประคบเย็น เป็นการใช้ความเย็นในการบรรเทาอาการปวดบวมที่อาจจะเกิดจากการบาดเจ็บอย่างเฉียบพลัน เพราะความเย็นนี้จะช่วยให้เส้นเลือดมีการหดตัว ทำให้เลือดไหลออกมาน้อยลง หากปวดหรือได้รับบาดเจ็บ ควรจะประคบด้วยความเย็นทันที ภายใน 24-48 ชั่วโมง ใครประคบประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที อาการที่ใช้ความเย็นประคบ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ ปวดฟัน ปวดบวมบริเวณข้อเท้า ข้อเคล็ด เลือดกำเดาไหลออกมา หรือการปวดบวมในบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือเริ่มมีอาการใหม่ ๆ เป็นต้น โดยอุปกรณ์สำหรับการประคบเย็น อาจเป็นแผ่นเจลสำเร็จรูปที่แช่ไว้ในตู้เย็น หรือในถังน้ำแข็ง แม้แต่ถุงน้ำแข็งที่ทำขึ้นเองก็ได้ การประคบให้ใช้ถุงพลาสติกขนาดพอดี เติมน้ำเปล่าผสมกับน้ำแข็ง แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้มีความเย็นมากจนเกินไป แล้วนำมาวางไว้บริเวณที่ผิวหนังที่เจ็บปวด หากเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา เท้า อาจใช้การแช่ลงไปในภาชนะบรรจุน้ำเย็น ในแต่ละครั้งให้แช่ประมาณ 15-20

ปวดตรงนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าควรประคบร้อนหรือเย็น Read More »

มีอาการแบบนี้รึเปล่า Revenge Bedtime Procrastination เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

มีอาการแบบนี้รึเปล่า Revenge Bedtime Procrastination เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน

หลายคนกลับจากที่ทำงานมาเหนื่อย ๆ จากกิจกรรมต่าง ๆ มาตลอดทั้งวัน แต่พอถึงเวลากลางคืนกลับตาสว่าง หากอะไรทำจนไม่หลับไม่นอน เผลออีกทีก็เข้าสู่เวลารุ่งสางแล้ว ความเป็นจริงแล้วอาการแบบนี้อาจจะไม่เป็นโรคนอนไม่หลับแต่อาจเป็นอาการของ Revenge Bedtime Procrastination หรือการเหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน เพื่อใช้เวลากับตัวเอง เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ในช่วงเวลากลางวันไม่มีเวลาที่จะทำอะไรที่อยากทำนั่นเอง กลางวันไม่ว่าง กลางคืนจึงไม่นอน                   เคยลองถามตัวเองกันหรือไม่ว่าทำไมเราต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ในตอนกลางคืนแทนที่เราจะทำกิจกรรมเหล่านั้นในตอนกลางวัน หลายคนอาจจะบอกว่า เพราะในเวลากลางวันนั้นเรายุ่งที่จะทำงานมากเกินกว่าจะใช้เวลากับตัวเอง ทำให้อดทำในสิ่งที่เราอยากทำเล่น การดูซีรีส์ การอ่านหนังสือ หรือเล่นเกม เป็นต้น จึงต้องมาทำในตอนกลางคืนแทน ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกอาการนี้ว่า Revenge Bedtime Procrastination เรียกสั้น ๆ ว่า Bedtime Procrastination เป็นการผัดเวลานอนเพื่อล้างแค้น เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน เพื่อจะได้ให้เวลากับตัวเอง โดยอาการนี้ไม่ใช่เป็นโรคที่เกิดจากการนอนไม่หลับ แต่เป็นการเลือกที่จะไม่นอนเองต่างหาก เพราะยังอยากจะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำเต็มไปหมด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้กับคนที่ไม่อาจจะควบคุมเวลาในการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเวลากลางวันได้ เช่น ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่คาดเดาได้ยาก มีงานแทรก งานด่วน ทำให้เลิกงานไม่เป็นเวลา บางวันอาจจะฝนตกทำให้รถติดนานหลายชั่วโมง ทำให้กลับถึงบ้านค่ำหรือดึกจนเกินไป จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนต้องใช้เวลาในตอนกลางคืนทำกิจกรรมที่อยากทำอย่างบ้าคลั่ง

มีอาการแบบนี้รึเปล่า Revenge Bedtime Procrastination เหนื่อยแต่ไม่ยอมนอน Read More »

3 สัญญาณของอาการป่วยเมื่อคุณมักจามติดต่อกัน วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

3 สัญญาณของอาการป่วยเมื่อคุณมักจามติดต่อกัน

            ในยามที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือผลัดเปลี่ยนรอยต่อของฤดูที่ทำให้อุณหภูมิแปรปรวนไปคนละขั้วย่อมเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะมีอาการจามบ่อย ๆ เพราะร่างกายยังคงปรับตัวให้ทันตามสภาพอากาศไม่ได้ซึ่งผลตามก็คือ “ไข้หวัด” แต่เป็นไข้หวัดธรรมดาที่แค่ไม่กี่วันก็หาย แต่สิ่งที่ไม่ผิดปกติก็ยังคงมีอยู่ คือ หากคุณมีอาการจามติดต่อกันหลายครั้งใน 1 วันและเป็นเช่นนี้ยาวไปเกิน 2 – 3 วันก็อาจเป็นสัญญาณไม่ดีของอาการป่วยหนักที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาได้ ด้วยการที่ร่างกายมีการต่อต้านสิ่งผิดปกติมากเกินไป นั่นหมายถึงร่างกายคุณกำลังถูกคุกคามด้วยสิ่งผิดปกติมากมายจากภายนอกที่เริ่มทำให้ร่างกายอ่อนแอลง จะมีอาการป่วยใดบ้างที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากการจามติดต่อกันเป็นเวลานาน ภูมิแพ้             โรคภูมิแพ้จะกำเริบจากการที่ร่างกายของคนเราถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าด้วยสิ่งผิดปกติที่หลากหลายทำให้ร่างกายซึ่งรับรู้ได้ว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้านออกมาผ่านทางระบบหายใจโดยการสั่งให้จามออกมา เช่น จามเพราะเกสรดอกไม้ ,ฝุ่นละออง ,ขนสัตว์ เป็นต้น และแสดงความผิดปกติทางผิวหนังจนเกิดผื่นแดงจากการรับประทานอาหารที่ร่างกายต่อต้าน ,สัมผัสกับสิ่งเร้าอย่างใบไม้หรือดอกไม้บางประเภท ยิ่งการจามออกมาติดต่อกันนาน ภูมิแพ้ก็จะกำเริบทำให้คุณหายใจออกมาลำบาก มีน้ำมูก และเกิดไข้ร่วมด้วย คออักเสบ             เมื่อคุณจามติดต่อกันบ่อย ๆ ก็อาจทำให้มีการเข้ามาบางส่วนของละอองสิ่งผิดปกติซึ่งกระตุ้นภายในโพรงจมูกและลงไปสู่คอที่เป็นจุดเชื่อมต่อกันของร่างกาย ทำให้เกิดคออักเสบขึ้นมา โดยโรคคออักเสบนั้นเกิดจากการที่มีสิ่งมากระตุ้นทำให้คุณไอมากและหายใจทางปากจนไวรัสได้ลงคอของคุณ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดอาการเจ็บคอจนรับประทานอาหารลำบากแล้ว ยังทำให้เกิดอาการเป็นไข้ ปวดศีรษะตามมาร่วมด้วย ต้องรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดอย่างพาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟน และรับประทานยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย ไข้หวัดใหญ่             การที่คุณจามติดต่อกันบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ โดยไข้หวัดใหญ่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่พบมากที่สุด คือ ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ (H1N1)

3 สัญญาณของอาการป่วยเมื่อคุณมักจามติดต่อกัน Read More »

วิธีการป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

วิธีการป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

อาการท้องอืดท้องเฟ้อถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาการที่สร้างความทรมานให้กับผู้ที่เป็นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับวันนี้เราได้นำเอาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาเหตุของอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่ทำให้เราเกิดความไม่สบายตัวมาแนะนำกัน ว่าแต่เมื่ออาการท้องอืดท้องเฟ้อขึ้นแล้วจะมีวิธีช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นวันนี้เราก็ได้นำเอาข้อมูลที่น่าสนใจเหล่านี้มาแนะนำกัน ลองไปดูรายละเอียดกันเลย สาเหตุส่วนใหญ่ที่แต่ละคนมักเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ การเคี้ยวร้านอาหารที่ไม่ละเอียด มันจะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานหนัก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนนั้นเกิดอาการท้องอืดได้นั่นเอง การรับประทานอาหารที่เร็วเกินไป ซึ่งแน่นอนเลยว่าระบบย่อยอย่างเช่นฟันที่เป็นด่านแรกของการย่อยอาหาร อาจทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก จึงส่งผลให้อวัยวะส่วนอื่นในการย่อยเกิดมีปัญหาได้เช่นกัน การเคี้ยวอาหารไปด้วยได้ทำกิจกรรมอื่นไปด้วย อาจทำให้ระบบการย่อยการเคี้ยวอาหารในมื้อนั้น ไม่สมบูรณ์แบบมากนัก จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ การดื่มน้ำอัดลม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่คนส่วนใหญ่มักเกิดอาการนี้ ท่อน้ำอัดลมเต็มไปด้วยแก๊ส จึงทำให้ส่งผลเสียโดยตรงกับกระเพาะอาหาร เครื่องดื่มนี้อาจจะรวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย  เลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอาหารที่ย่อยยากและปริมาณ อย่างเช่น เนื้อสัตว์ อาหารทอด  อาหารที่มีแป้งย่อยยาก และผลไม้ที่มีเปลือกแข็ง  วิธีดูแลและรักษาและบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ควรเปลี่ยนวิธีเคี้ยวอาหาร โดยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นและยาวนานมากยิ่งขึ้น  วันหยุดดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือหากมีความจำเป็นจริงๆก็สามารถดื่มได้ แต่ไม่ควรดื่มในปริมาณที่มากเกินไปและบ่อยเกินไป  ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจำพวกน้ำตาลฟรุกโตส เพราะถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด  ไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดการย่อยยาก อย่างเช่นอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารจำพวกทอด  ควรช่วยในการย่อยอาหารหลังมื้ออาหารโดยการขยับร่างกายเบาๆ ซึ่งจะถือเป็นการช่วยให้ลำไส้ของเรานั้นสามารถเคลื่อนไหวเพื่อย่อยอาหารได้เป็นอย่าง  สามารถเลือกรับประทานสมุนไพรที่ช่วยในการย่อยและขับลม เช่น  ขิง สะระแหน่ กระเทียม โหระพา  ยี่หร่า ผักชีฝรั่ง และออริกาโน เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อว่าหลายคนก็คงจะได้รับความรู้กันไปอย่างแน่นอน ใครที่มักจะเจอกับอาการท้องอืดท้องเฟ้ออยู่เป็นประจำก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารและรายละเอียดอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะช่วยบรรเทาและช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง สำหรับครั้งหน้าเราจะนำเอาข้อมูลอะไรที่น่าสนใจมาแนะนำกันอีกนั้นอย่าลืมติดตาม วิดีโอเพิ่มเติม

วิธีการป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ Read More »