9 อาหารที่ทานแล้วหน้าแก่เร็ว เลี่ยงเถอะ แม้อร่อยก็ตาม

9 อาหารที่ทานแล้วหน้าแก่เร็ว เลี่ยงเถอะ แม้อร่อยก็ตาม วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ผิวพรรณไม่สดใส หน้าโทรม เหี่ยวย่น ไม่ได้เกิดขึ้นมากจากการนอนหลับพักผ่อนน้อยเพียงเท่านั้น แต่อาหารบางชนิด หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป ก็จะทำให้ดูแก่ก่อนวัยได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทานแล้วหน้าแก่เร็ว แม้ว่าจะอร่อยก็ตาม มีอะไรบ้างที่ไม่ควรทานเยอะ มาดูกัน

ไม่อยากหน้าแก่ ควรเลี่ยงอาหารเหล่านี้

                  1. น้ำตาล หรืออาหารที่มีรสชาติหวานจัด สายหวานจะรู้ดีว่าหากเติมน้ำตาลลงไปในอาหารและเครื่องดื่ม จะทำให้มีรสชาติดีขึ้น แต่หากทานในปริมาณมาก ๆ จะส่งผลให้เซลล์ของผิวเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ขาดคอลลาเจนจึงให้ไม่สดใสเปล่งปลั่ง จึงเกิดการเหี่ยวย่น ไม่ยืดหยุ่น

                  2. แอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ำไปเป็นจำนวนมาก หากเราดื่มแอลกอฮอล์จะเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อตับ หรือโรคตับแข็ง เนื่องจากต้องทำงานอย่างหนักเพื่อกำจัดของเสียออกไปจากร่างกาย หากตับไม่ดี ผลสะท้อนที่ออกมาคือผิวพรรณไม่สดใส หมองคล้ำได้ง่าย

                  3. คาแฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เป็นต้น จะมีสารอะดีนาลีนที่จะทำให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว แต่ส่งผลเสียต่อผิวด้วย นอกจากนี้ยังดูดซิมวิตามิน แร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการบำรุงผิวพรรณให้หมดไปอีกด้วย

                  4. ไขมันไม่อิ่มตัว หรือไขมันทรานส์ อาหารที่ทานแล้วแก่เร็ว ที่ส่งผลให้อ้วนง่าย ผิวมีเซลล์ลูไลท์ ไวต่อแสงแดด จึงทำร้ายผิวถูกทำร้ายได้อย่างรวดเร็ว เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย อีกทั้งยังทำให้ขาดความชุ่มชื่น นุ่มเนียน และเกิดริ้วรอยได้

                  5. อาหารรสเค็มจัด เช่น หมูแดดเดียว หมูหมัก แครกเกอร์โรยเกลือ เป็นต้น หรืออาหารต่าง ๆ ที่มีรสชาติเค็มจัด เนื่องจากมีโซเดียมเป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้ตัวของเราบวมน้ำ อีกทั้งยังดูดน้ำออกจากร่างกาย ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน เหี่ยวย่นอย่างง่ายดาย

6. อาหารแปรรูป ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารกระป๋อง ปลา ผักดอง อาหารกล่องแช่แข็ง แฮม ไส้กรอก เบคอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารเหล่านี้ล้วนมีโซเดียมสูง และสารในกลุ่มซัลไฟต์ หรือสารกันบูด อีกทั้งยังมีสารแต่งกลิ่นและสารสังเคราะห์ รวมถึงสารกันกลิ่นเหม็นหืนของอาหาร ซึ่งสารทั้งหมดนี้จะเข้าไปกระตุ้นผิวให้เกิดการอักเสบ เกิดริ้วรอยขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

                  7. อาหารปิ้งย่าง ทั้งหมู เนื้อ อาหารทะเลย่าง หรือแม้แต่ร้านบุฟเฟ่ต์หมูกระทะต่าง ๆ จะพบสารไฮโดรคาร์บอนได้ในส่วนที่ไหม้เกรียม เกิดเป็นสารอนุมูลอิสระ ทำลายผิวจนทำให้เกิดริ้วรอย ขาดการตึงกระชับ ไม่มีความเปล่งปลั่งสดใส ผิวหมองคล้ำลงจนน่าตกใจ

                  8. เครื่องดื่มชูกำลัง ที่มีคาเฟอีน น้ำตาลในปริมาณมาก และยังมีส่วนทำลายสารเคลือบฟัน ทำให้เหลือง ผุ กร่อนได้ง่ายอีกด้วย

                  9. ของทอด นอกจากจะทำให้อ้วนเนื่องจากมีปริมาณของไขมันสูงแล้ว ยังมีส่วนเข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวของเราอีกด้วย ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ไม่สดใสอีกด้วย

กินอะไรทำไมแก่จัง

              เคยสงสัยบางไหมว่า ทำไมบางคนที่มีอายุเท่ากัน แต่ทำไมถึงหน้าแก่ไม่เหมือนกัน นั่นก็เพราะ ความชรา ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับอายุเสมอไป เพราะการเสื่อมของร่างกายมีสาเหตุหลักมาจากการที่เซลล์ผิวถูกทำลายลงไป สามารถจำแนกได้อยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ การถูกทำลายจากปฏิกิริยาออกซิเดชันโดยสารอนุมูลอสระ และสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

              สารอนุมูลอิสระ คือโมเลกุลที่ไม่มีความเสถียร เมื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับเซลล์จะส่งผลให้ถูกทำลายลงไป                ต้องแบ่งตัวเองเพื่อเข้ามาทดแทนใหม่ ซึ่งตามธรรมชาติแล้วสามารถแตกตัวออกได้อย่างจำกัด ยิ่งมากยิ่งเสื่อมสภาพลง      โดยกระบวนการนี้เป็นการแก่ตัวไปตามวัยของคนเรา เพราะอนุมูลอิสระเหล่านี้ได้มาจากทั้งที่สร้างขึ้นมาและรับจากภายนอก

              อีกช่องทางหนึ่งที่ร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระคือ อาหารที่ทานแล้วแก่เร็ว ยิ่งทานเยอะยิ่งแก่เร็ว ในทางตรงกันข้ามหากหลีกเลี่ยงได้จะทำให้ดูเด็กลงนั่นเอง

              อาหารที่ทานแล้วแก่เร็ว ที่ได้กล่าวมาข้างต้น หากร่างกายได้รับอนุมูลอิสระมาก ก็เกิดการอักเสบมาก ทำให้ผิวพรรณดูแก่ก่อนวัย ไม่สดใส เหยี่ยวย่นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดกิน แต่ควรทานในปริมาณน้อย ๆ หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพื่อให้ผิวของเรามีความสวยงาม ดูมีสุขภาพดีตลอดไป

เครดิตภาพ : mahosot.com / sanook.com / posttoday.com

YouTube :

อาหารต้องห้าม ยิ่งกินยิ่งแก่

5 อาหารอันตราย แก่เร็วสุดๆ 

#อาหารหน้าแก่ #กินแล้วต้องระวัง #อาหารควรเลี่ยง

รู้มั้ยแต่ละหอยมีสารอาหารดีต่อร่างกายหลายอย่าง วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

รู้มั้ยแต่ละหอยมีสารอาหารดีต่อร่างกายหลายอย่าง

“หอย” ไม่ได้เพียงแค่ความอร่อยเท่านั้น ยังเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการดีที่สุด อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เช่น มะเร็ง อัมพาต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ มาดูกันว่าแต่ละหอยมีสารอาหารดีต่อร่างกายอะไรบ้าง หอยนั้นดี กินบ่อย ๆ มีประโยชน์                   1. หอยนางรม มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงทั้ง วิตามินเอ บี1 บี2 บี3 วิตามินซี ดี ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม แคลเซียม แมงกานีส ไอโอดีน ฟอสฟอรัส และโอเมก้า 3 ซึ่งสารอาหารต่าง ๆ เหล่านี้โดยเฉพาะคุณผู้ชายจะไปช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศให้มากยิ่งขึ้น ป้องกันการเป็นหมัน ป้องกันการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต อักเสบ ควบคุมความดันโลหิต การแลกเลี่ยนออกซิเจนภายในเซลล์ ทั้งนี้ในส่วนของเปลือกยังใช้รักษาและป้องกันโรคได้หลายประเภท เช่น ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว โรคเกี่ยวกับถุงอัณฑะ เป็นไข้ตัวร้อน แก้กระษัย แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้โรคเส้นท้อตึง อัมพาต ขับเมือกและบำรุงลำไส้ […]

รู้มั้ยแต่ละหอยมีสารอาหารดีต่อร่างกายหลายอย่าง Read More »

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้ สรรพคุณที่มีมากกว่าที่คุณคิด วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้ สรรพคุณที่มีมากกว่าที่คุณคิด

ว่านหางจระเข้ หรือ Aloe Vera เป็นพืชสมุนไพรที่พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ อยู่ในตระกูล Lilium มีแหล่งกำเนิดในแถบชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา อีกทั้งเจริญเติบโตได้ดีในบ้านเราที่เป็นเขตร้อน สามารถทนต่อโรคและความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี มาดูประโยชน์ของว่านหางจระเข้ สรรพคุณที่มีมากกว่าที่คิดใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอะไรบ้างไปดูพร้อม ๆ กัน สรรพคุณมากมายของว่านหางจระเข้                   1. ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวาน ด้วยการนำเนื้อวุ้นมารับประทาน หรือจะทำเป็นน้ำปั่นสูตรว่านห่างจระเข้ก็ได้ ช่วยบรรเทาอาการและป้องกันอาการต่าง ๆ ของโรคได้                   2. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ โดยการตัดเอาใบสดแล้วทาด้วยปูนแดงด้านหนึ่งไปปิดไว้ตรงขมับข้างที่ปวดจะช่วยให้ทุเลาลง หายได้เร็วขึ้น                   3. รักษาแผนในกระเพาะอาหาร ป้องกันและลดการเกิดแผลในขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ                   4. ช่วยแก้กระเพาะอักเสบ โดยนำใบมาปอกเปลือกออกล้างให้สะอาดเหลือแต่วุ้นด้านใน รับประทานวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 2 ช้อนโต๊ะเป็นประจำทุกวัน                   5. ใช้เป็นยาระบาย เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลืองที่มีสารแอนทราควิโนน มีฤทธิ์เป็นระบายอื่น ๆ หากนำน้ำยางนี้ไปเคี่ยวให้น้ำระเหย ทิ้งเอาไว้ให้เย็น จะได้สารสีตาลเข้ม

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้ สรรพคุณที่มีมากกว่าที่คุณคิด Read More »

มารู้จักหญ้าฝรั่น เครื่องเทศที่มีราคาสูงที่สุดในโลก วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

มารู้จักหญ้าฝรั่น เครื่องเทศที่มีราคาสูงที่สุดในโลก

“หญ้าฝรั่น” เป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูมากนักในประเทศไทยบ้านเรา หากเป็นคนที่อยู่ในวงการของอาหารและยาสมุนไพร จะรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในตำรายา หรือไม่ก็ใช้ประกอบอาหารหรู ราคาแพง ด้วยราคาซื้อขายอยู่ที่ 37,400-374,000 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบด้วย จึงทำให้ได้รับสมญานามว่า เป็นเครื่องเทศที่มีราคาสูงที่สุดในโลก เรามาทำความรู้จักหญ้าที่ไม่ใช่หญ้าชนิดนี้กัน ทำไมถึงเป็นเครื่องเทศที่มีราคาสูง                   หญ้าฝรั่น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Crocus Sativus L. จัดอยู่ในวงศ์ IRIDACEAE ในส่วนที่นำมาใช้ได้คือเกสรตัวเมีย ซึ่งจะมีรสชาติเผ็ดร้อน ขมอมหวาน และมีกลิ่นหอมคล้ายกับฟาง ส่วนใหญ่นิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงในอุตสาหกรรมน้ำหอม และนำไปย้อมสีผ้า นอกจากนี้ยังใช้สำหรับการทำยาหลายชนิด ด้วยสรรพคุณในตำหรับไทยระบุไว้ เช่น ช่วยขับเหงื่อในผู้ที่ออกหัด ช่วยขับระดู และใช้ในการแต่งสีแต่งกลิ่นให้กับอาหาร เป็นต้น                   ปัจจุบันประเทศที่ผลิตและส่งออกมากที่สุดคือ อิหร่าน เนื่องจากดอกหญ้าฝรั่นนี้ใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกเป็นจำนวนมาก และต้องเก็บดอกด้วยมือเท่านั้น เพราะมีความบอบบาง และการจะเก็บต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งวัน แล้วต้องรีบนำมาแยกและคั่วให้แห้งทันที ซึ่งคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่ข้อเสียคือเสื่อมสภาพลงได้ง่าย หากเจอกับแสงและออกซิเจน ดังนั้นส่วนใหญ่จึงไม่นิยมจะนำมาบดเป็นผง อีกทั้งต้องเก็บไว้ในภาชนะกันแดงและอากาศเพื่อคงคุณภาพเอาไว้ก่อนจะนำออกไปใช้ ด้วยวิธีการปลูกและผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อนนี้จึงทำให้เป็นเครื่องเทศที่มีราคาสูงที่สุดนั่นเอง คุณสมบัติและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา               จากการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดและสารสำคัญต่าง

มารู้จักหญ้าฝรั่น เครื่องเทศที่มีราคาสูงที่สุดในโลก Read More »

หญ้าหวาน ทางเลือกของการมีสุขภาพที่ดี วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

หญ้าหวาน ทางเลือกของการมีสุขภาพที่ดี

หญ้าหวาน นับว่าเป็นพืชที่ให้ความหวานตามธรรมชาติ โดยประกาศของคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง กำหนดรายชื่อพืชหรือส่วนของพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับชาสมุนไพร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ให้พืชชนิดนี้นำมาผสมลงในอาหารและเครื่องดื่มได้ทานแล้วมีความปลอดภัยต่อร่างกาย มาทำความรู้จักกับหญ้าชนิดนี้กัน กินหวานใครว่าอ้วน พืชทางเลือก เพื่อสุขภาพ                   หญ้าหวาน มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Stevia Rebaudiana Bertoni หรือ Stevia จัดอยู่ในวงศ์ Asteraceae (Compositae) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีความสูงอยู่ระหว่าง 30-90 เซนติเมตร ลักษณะเป็นใบเดี่ยวรูปใบหอกกลับ ส่วนขอบหยัก มีดอกออกช่อสีขาว คล้ายกับต้นโหระพา ชื่นชอบอากาศหนาวเย็นอยู่ที่ประมาณ 20-26 องศา และขึ้นได้เป็นอย่างดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600-700 เมตร                   หญ้าชนิดนี้ถูกนำมาปลูกครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. 2518 นิยมปลูกกันในภาคเหนือของประเทศไทย โดยใบแห้ง หากนำไปสกัดด้วยน้ำจะให้สารที่มีความหวานประมาณ ร้อยละหนึ่ง ซึ่งมากกว่าน้ำตาลทราย 150-300 เท่า คงตัวได้ดีในตัวทำละลาย มีกรดและเบสอ่อน ทนความร้อนได้กว่า 200

หญ้าหวาน ทางเลือกของการมีสุขภาพที่ดี Read More »

จิตเวชทางโภชนาการ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

จิตเวชทางโภชนาการ

         เมื่อได้เห็นคำว่า จิตเวชทางโภชนาการ เป็นครั้งแรก  หลายคนคงสงสัยว่าหมายถึงอะไรกันแน่  แต่นักกำหนดอาหารได้พูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างอาหารกับสุขภาพจิตมาพักใหญ่ๆ แล้ว รวมถึงอาหารแบบที่เรียกว่า อาหารที่ช่วยเพิ่มความสุข  จิตเวชทางโภชนาการเป็นการทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างโภชนาการและสุขภาพจิต   มีจิตแพทย์บางคนใช้โภชนาการเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการรักษาภาวะทางจิตต่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาวะซึมเศร้า ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่าผู้คนมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้ และเป็นสาเหตุของความพิการอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าการเจ็บป่วยนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า อาหาร ภาวะซึมเศร้า และจิตเวชทางโภชนาการ          งานวิจัยหลายชิ้นที่เชื่อมโยงจิตเวชทางโภชนาการแสดงให้เห็นมานานแล้วว่า อาหารที่ก่อการอักเสบซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มรสหวาน ธัญพืชขัดสี อาหารทอด  เนื้อสัตว์แปรรูป  ผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูง และขนมขบเคี้ยว สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า ผลการศึกษาในปี 2020 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการด้านสาธารณสุขได้สรุปความสัมพันธ์เชิงบวกและเชิงลบระหว่างอาหารกับภาวะซึมเศร้า  ทั้งนี้ไขมันต้านการอักเสบ รวมถึงโอเมก้า-3 จากอาหารจำพวกปลาแซลมอน และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจากอะโวคาโดและน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ สามารถทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าลดลง  รวมทั้งพบค่าการอักเสบในเลือดก็ลดลง ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิดรวมถึงฟลาโวนอยด์ ที่พบในผลเบอร์รี่ นัท ส้ม และแอปเปิ้ล ก็มีผลทำให้ความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าลดลง  ดังนั้นจิตเวชทางโภชนาการจึงแนะนำให้รับประทานอาหารบางชนิดเพื่อช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ได้แก่ ปลา ซึ่งการศึกษาข้างต้นระบุว่า ผู้หญิงที่กินปลาสัปดาห์ละสองครั้งขึ้นไปมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าลดลง 25% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินปลาน้อยกว่าสัปดาห์ละสองครั้ง   สารอาหารบางชนิดเช่น แมกนีเซียม โฟเลต สังกะสี 

จิตเวชทางโภชนาการ Read More »

ประโยชน์ของดอกอัญชันที่ควรรู้ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

ประโยชน์ของดอกอัญชันที่ควรรู้

อัญชัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Clitoria Ternatea Linn. อยู่ในวงศ์ Fabaceae ตระกูลถั่วเมล็ดกลม เช่น ลันเตา ถั่วแระต้น ถั่วพู เป็นต้น มีลักษณะเป็นไม้เลื้อยล้มลุก พบได้ทั่วไปในป่าโล่งแจ้ง หรือในบริเวณกึ่งร่ม ทั้งป่าเบญจพรรณพื้นล่าง ขึ้นไปจนถึงป่าเขาสูง ในต่างประเทศนั้นพบได้ทุกทีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และในหมู่เกาะแปซิฟิก มาดูกันว่าประโยชน์ของดอกอัญชันที่เราควรรู้มีอะไรบ้าง อัญชัน ประโยชน์มากมายที่ควรรู้                   ดอกอัญชัน เราจะนึกถึงดอกสีน้ำเงิน ที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์ในการทำเครื่องสำอาง หรือเป็นสีผสมในอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ความจริงแล้วสรรพคุณของอัญชันนั้น สามารถใช้ได้ทั้งต้น เป็นยาพื้นบ้านมาตั้งแต่โบราณ โดยส่วนรากนั้นใช้ฝนเอาไว้หยอดตา สำหรับรักษาอาการเจ็บตา ตาฟาง บำรุงดวงตา หรือใช้ผสมกับยาสีฟัน เพื่อช่วยอาการปวดฟัน นอกจากนี้ยังใช้ต้มดื่มสำหรับเป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ แก้โรคปัสสาวะพิการ ในส่วนของดอกใช้ตำเป็นยาพอก หรือนำไปคั้นเอาน้ำไปทาแก้ฟกช้ำ บวม พิษจากแมลงกัดต่อย รวมถึงการใช้สระผมเพื่อแก้ผมขาดหลุดร่วง อีกทั้งเมล็ดยังใช้เป็นยาระบายได้อีกด้วย นอกจากนี้ประโยชน์ของดอกอัญชันในต่างประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย ตามตำราอายรเวทศาสตร์ ถูกจัดให้อยู่ในหมู่พืชที่มีสรรพคุณสำหรับบำรุงสมอง โดยนำส่วนรากและเมล็ดมาใช้บำรุงร่างกาย ความจำ

ประโยชน์ของดอกอัญชันที่ควรรู้ Read More »

มูสลี่ ของดีที่มาจากสวิส วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

มูสลี่ ของดีที่มาจากสวิส

มูสลี่เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่เตรียมจากข้าวโอ๊ตดิบและส่วนผสมอื่นๆ รวมถึงธัญพืช ผลไม้สดหรือแห้ง  เมล็ดพืช และนัท แล้วเทน้ำนม  นมถั่วเหลือง  โยเกิร์ต หรือน้ำผลไม้ลงไป   ผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้นมูสลี่ขึ้นมาในปี 1900 เป็นแพทย์ชาวสวิส ซึ่งเตรียมอาหารนี้สําหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลของเขา  โดยได้รับแรงบันดาลใจจากอาหารที่เขาและภรรยาเคยรับประทานขณะไปเดินป่าในเทือกเขาแอลป์ของสวิสเซอร์แลนด์ โดยครั้งนั้นเขาแช่มูสลี่ในน้ำผสมน้ำมะนาวข้ามคืน  ครั้นถึงตอนเช้าก็เสิร์ฟพร้อมกับโยเกิร์ตเป็นอาหารเช้า เขาเลือกใช้อาหารที่อุดมไปด้วยผลไม้และผักสดเป็นส่วนสําคัญของการบําบัด และอาหารประเภทนี้ทำให้ความตั้งใจของเขาสมปรารถนา เขาเรียกว่าอาหารนี้ “d’Spys” (ซึ่งในภาษาเยอรมันสวิสหมายถึง “อาหาร”) ต่อมากลายเป็นที่มีชื่อเสียงมากขึ้นเป็นที่รู้จักกันว่า “เบิร์ชเซอร์มูสลี” ในภาษาเยอรมันสวิสหรือ “Müesli” คํานี้มาจากอเลมันนิก (ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของเยอรมันตอนบน) จากนั้นมูสลี่เป็นที่นิยมในประเทศตะวันตกราวทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนสนใจในอาหารสุขภาพและอาหารมังสวิรัติ ประโยชน์ของมูสลี่ มูสลี่ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพเพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย   มูสลี่มีน้ำตาลและแคลอรี่น้อยกว่าอาหารเช้าจากธัญพืช ซึ่งบางยี่ห้ออาจมีน้ำตาลมากกว่า 50%   มูสลี่มีใยอาหารจํานวนมากที่ช่วยควบคุมความอยากอาหาร  ใยอาหารยังชะลอการดูดซึมของน้ำตาล จึงควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2   มูสลี่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากจึงไปทําลายอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเช่น มะเร็งรังไข่  มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก    มูสลี่มีแมงกานีสและไม่มีไขมันอิ่มตัว จึงดีต่อสุขภาพหัวใจ   เมื่อรับประทานมูสลี่เป็นอาหารเช้า จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานสะสมในตอนเช้า และแล้วให้พลังงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน    มีส่วนช่วยควบคุมการสูญเสียน้ำหนักอันเนื่องมาจากลดปริมาณอาหารที่จําเป็น วิธีเตรียมมูสลี่เพื่อรับประทาน          สำหรับมูสลี่สูตรดั้งเดิมจะมีผลไม้มากกว่าธัญพืช  ซึ่งแตกต่างกับมูสลี่ปัจจุบันอย่างมาก  มูสลี่สูตรดั้งเดิมจะประกอบไปด้วยข้าวโอ๊ต

มูสลี่ ของดีที่มาจากสวิส Read More »

อาหารสำหรับคนเจน แซด วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

อาหารสำหรับคนเจน แซด

คนเจน แซด  (Gen Z) เป็นเจนเนอเรชั่นที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา คนกลุ่มนี้เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2012 และมีรสนิยมในอาหารที่หลากหลายกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่หรือคนรุ่นมิลเลนเนียล  คนเจน แซด พร้อมที่จะลิ้มลองอาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารอินเดียหรืออาหารตะวันออกกลางมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ  รวมถึงการทดแทนเนื้อสัตว์ คนเจน แซด  สนุกกับอาหาร คนเจน แซด พร้อมที่จะรับประทานโปรตีนทางเลือกอื่นๆ เพิ่มเติม รวมถึงอาหารจากพืชและอาหารมังสวิรัติ ร้านอาหารต่างๆ จะใช้แนวโน้มนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำเสนอตัวเลือกทางอาหารมากขึ้น  นอกจากนี้ คนเจน แซด ยังต้องการอาหารที่สดใหม่และดีต่อสุขภาพ กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะต้องการความสมดุลระหว่างผักกับโปรตีนในมื้ออาหาร พวกเขายังให้ความสำคัญกับส่วนประกอบแบบออร์แกนิกและยั่งยืนด้วย  เนื่องคนเจน แซด เติบโตขึ้นพร้อมกับข้อเท็จจริงทางโภชนาการและความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร  ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะสนใจเบอร์เกอร์แบบคลาสสิกหรือพิซซ่าหน้าต่างๆ  แต่พวกเขาต้องการที่จะลองชิมอาหารแปลกใหม่ที่มีการผสมผสานระหว่าอาหารหลายประเภท เช่น ลูกอมช็อกโกแลตรสพริก แนวโน้มอาหารสำหรับคนเจน แซด  ผู้ประกอบการด้านอาหารควรทำความเข้าใจกับคนเจน แซด ดังนี้ (1) มีหัวใจรักการผจญภัยในอาหาร คนเจน แซด เชื่อว่าอาหารไม่ควรเป็นเพียงแค่ความสะดวกสบายหรือสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประสบการณ์อีกด้วย กลุ่มนี้ชอบที่จะลองชิมอาหารแนวใหม่และท้าทาย เช่น อาหารจากรถขาย และอาหารบาทวิถีที่รสชาติดีและทำให้มีประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใคร  (2)

อาหารสำหรับคนเจน แซด Read More »

คุณค่าของมะละกอ วิธีลดน้ำหนัก อาหารลดน้ำหนัก ปวดหัว

คุณค่าของมะละกอ

         มะละกอ มีประโยชน์ค่อนข้างหลากหลาย มีสรรพคุณเป็นทั้งอาหารและยารักษาโรค โดยสรรพคุณมะละกอ เช่น ใช้เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เป็นต้น และยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และบำรุงสายตา เช่น วิตามินเอ 47 ไมโครกรัม  เบต้าแคโรทีน 274 ไมโครกรัม ลูทีน และซีแซนทีน 89 ไมโครกรัม วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เป็นต้น  มะละกอมีส่วนช่วยการป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม  โดยมีงานวิจัยตีพิมพ์ในต่างประเทศกล่าวว่าการกินมะละกอ 3 ครั้งต่อวันอาจลดความเสี่ยงของอาการภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ อันเป็นสาเหตุของการเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ดี เนื่องจากคนไทยกินมะละกอทั้งดิบและสุกเป็นประจำ จึงมีความเสี่ยงลดลงในการเกิดโรคดังกล่าว   แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวกแคโรทีนอยด์ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง อาหารไทยจากมะละกอ          มะละกอ เป็นผลไม้ที่คนไทยนำมาใช้เป็นอาหารๆ ได้หลากหลายชนิด ใช้มะละกอทั้งดิบและสุกในการทำ ลองนึกถึงอาหารที่ทำจากมะละกอ ก็มี ส้มตำ  แกงส้มมะละกอ 

คุณค่าของมะละกอ Read More »